แม่หัวใจแกร่ง! ซิ่งจยย.ไล่ล่าเก๋งแก๊งคอลเซ็นเตอร์หวังช่วยลูกชาย
แม่เผยนาทีระทึก! ไล่ตาม "แก๊งคอลเซ็นเตอร์" หวิดพาลูกชายออทิสติกไปทำงานสระแก้ว
เป็นเหตุการณ์ที่สร้างความตื่นตระหนกให้กับครอบครัวหนึ่งในจังหวัดบุรีรัมย์ หลังจาก "น.ส.สุธิญา" อายุ 38 ปี ได้ร้องเรียนกับผู้สื่อข่าวว่า ลูกชายวัย 19 ปี ที่ป่วยเป็นออทิสติก เกือบถูกหลอกให้ขึ้นรถไปกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่อ้างว่าจะพาไปทำงานที่จังหวัดสระแก้ว โดยมีการนัดรับตัวถึงหน้าบ้าน โชคดีที่แม่ไหวตัวทัน ขี่รถจักรยานยนต์ไล่ตาม จนสามารถช่วยลูกชายกลับมาได้อย่างปลอดภัย
ลูกชายถูกล่อลวงไปทำงาน – อ้างได้เงินเดือนสูงถึง 20,000 บาท
น.ส.สุธิญา เล่าว่า ลูกชายของตน มีความรู้ด้านอิเล็กทรอนิกส์ ซ่อมโทรศัพท์และเครื่องเสียงได้ ซึ่งที่ผ่านมาก็ช่วยดูแลอุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้าน และไม่ได้มีงานประจำเป็นหลัก วันหนึ่งลูกชายได้เล่าให้ฟังว่า มีคนชวนไปทำงานที่จังหวัดสระแก้ว โดยบอกว่า จะได้รับเงินเดือนสูงถึง 20,000 บาท เมื่อได้ยินเช่นนั้น น.ส.สุธิญาเริ่มรู้สึกผิดสังเกต เนื่องจากข่าวเกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่หลอกลวงเยาวชนให้ไปทำงานยังมีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ เธอจึง พยายามห้ามปรามลูกชาย และเตือนว่าอาจเป็นการหลอกลวง แต่ลูกชายยังคงยืนยันว่าต้องการไป
วันเกิดเหตุ – ลูกชายขึ้นรถไปกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แม่ขี่มอเตอร์ไซค์ไล่ตามทันควัน
ในวันเกิดเหตุ ลูกชายของเธอ โทรศัพท์มาบอกว่า "หนูจะไปทำงานที่สระแก้วนะ" ซึ่งทำให้แม่ยิ่งเอะใจมากขึ้นไปอีก เธอพยายามพูดคุยเพื่อให้ลูกชายเปลี่ยนใจ แต่ลูกชายยังคงยืนยันว่า "อยากไปสักพัก"
ด้วยความกังวลใจ น.ส.สุธิญาจึงรีบ ขี่รถจักรยานยนต์ไปยังที่พักของลูกชาย และทันทีที่ไปถึงก็พบว่า มีรถเก๋งโตโยต้าแคมรี่ สีดำ ทะเบียน ขม 8355 ระยอง มาจอดรออยู่ และที่น่าตกใจที่สุดคือ ลูกชายของเธอกำลังจะขึ้นรถไปกับกลุ่มคนแปลกหน้า
เมื่อเห็นเช่นนั้น เธอจึง รีบขี่รถตามไปอย่างไม่ลดละ โดยสามารถไล่ตามรถเก๋งคันดังกล่าวไปทันที่สี่แยกไฟแดงแสงรุ้ง ขณะที่รถของแก๊งคอลเซ็นเตอร์กำลังติดไฟแดง น.ส.สุธิญารีบ เข้าไปเคาะกระจกรถและพยายามให้คนขับเปิดประตู แต่กลุ่มชายในรถที่คาดว่ามี 2-3 คน กลับ ไม่สนใจและรีบเปลี่ยนเส้นทางทันที
ระทึก! แก๊งคอลเซ็นเตอร์เปลี่ยนเส้นทาง แม่ขับตามจนถึงจุดจอดรถ
หลังจากพยายามเคาะกระจกรถแต่ไม่ได้ผล น.ส.สุธิญาจึงตัดสินใจ เร่งเครื่องไล่ตามรถเก๋งไปอีก จนไปทันที่ ร้านขายวัสดุก่อสร้าง ระหว่างทางไปอำเภอสตึก ซึ่งเป็นจังหวะที่รถของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จอดรถลงและมีการสนทนากัน
เมื่อเธอเข้าไปสอบถามว่า "พาลูกของฉันไปไหน?" ชายคนหนึ่งที่อยู่ในรถตอบกลับมาว่า "พาน้องไปทำงานที่อรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว" แต่เมื่อเธอพยายามถามต่อว่า "ทำไมเมื่อกี้เคาะกระจกแล้วรีบหนี?" กลุ่มชายเหล่านั้นกลับ รีบเปลี่ยนท่าทีและพยายามขับรถหนีอีกครั้ง
ตำรวจเข้าช่วยเหลือ – แก๊งคอลเซ็นเตอร์รีบปล่อยตัวลูกชายก่อนเผ่นหนี
ขณะที่การไล่ล่ายังดำเนินไป น.ส.สุธิญาได้รีบโทรศัพท์แจ้งตำรวจ สายด่วน 191 เพื่อขอความช่วยเหลือ และไม่นานนัก ตำรวจได้โทรกลับมายังเบอร์มือถือของเธอ
เมื่อกลุ่มชายที่พาลูกชายของเธอไป รู้ว่าตำรวจกำลังเข้ามาเกี่ยวข้อง พวกเขาก็ตัดสินใจ ปล่อยตัวลูกชายลงจากรถทันที และรีบเร่งเครื่องขับรถหนีออกไปอย่างรวดเร็ว
จากนั้น น.ส.สุธิญาจึง รีบพาลูกชายกลับบ้านอย่างปลอดภัย และเดินทางไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรเมืองบุรีรัมย์ทันที พร้อมนำ หลักฐานสำคัญ ได้แก่ ภาพถ่ายของรถยนต์ และข้อมูลการแชตของแก๊งคอลเซ็นเตอร์กับลูกชาย มามอบให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ
แก๊งคอลเซ็นเตอร์ยังไม่หมดไป – อาจถูกหลอกให้เปิดบัญชีม้า
หลังจากตำรวจตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น พบว่า กลุ่มคนดังกล่าวอาจเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่พยายามล่อลวงเยาวชนให้ไปทำงานในลักษณะต่างๆ เช่น
หลอกให้เปิดบัญชีม้า เพื่อใช้ในการฟอกเงิน
บังคับให้ทำงานผิดกฎหมาย เช่น แฮกข้อมูล หรือเป็นพนักงานโทรหลอกเหยื่อคนอื่น
พาไปคอลเซ็นเตอร์ต่างประเทศ ซึ่งมีข่าวว่าหลายคนถูกกักขัง และใช้แรงงานเยี่ยงทาส
"แม่เอะใจจึงรอด" – เตือนภัยพ่อแม่ให้ระวังลูกหลาน
น.ส.สุธิญากล่าวว่า หากวันนั้นเธอไปช้ากว่านี้เพียงไม่กี่นาที ลูกชายของเธออาจจะถูกพาตัวไปแล้ว และอาจไม่มีทางกลับมาได้ง่ายๆ เธอรู้สึกตกใจและเสียขวัญอย่างมาก เพราะก่อนหน้านี้เคยเห็นข่าวเกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทางโทรทัศน์ แต่ไม่เคยคิดว่าจะมาเจอกับตัวเอง
เธอจึงอยากใช้เหตุการณ์นี้เป็น อุทาหรณ์เตือนพ่อแม่ทุกคน ให้หมั่นสังเกตพฤติกรรมของลูกหลาน โดยเฉพาะ เด็กที่มีภาวะพิเศษ เพราะพวกเขาอาจตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพได้ง่าย
บทเรียนจากเหตุการณ์นี้ – วิธีป้องกันลูกหลานจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์
1. สอนให้ลูกหลานรู้เท่าทันมิจฉาชีพ – เน้นย้ำให้พวกเขารู้จักวิธีป้องกันตัวเอง และไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวกับคนแปลกหน้า
2. ระวังงานที่ดูดีเกินจริง – หากมีคนชักชวนไปทำงานที่ให้ค่าตอบแทนสูงผิดปกติ ควรตรวจสอบข้อมูลก่อนตัดสินใจ
3. ติดตามพฤติกรรมของลูกอย่างใกล้ชิด – หากลูกมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป เช่น คุยโทรศัพท์ลับๆ ล่อๆ หรือมีคนแปลกหน้าติดต่อเข้ามาบ่อยๆ ควรสอบถามให้แน่ใจ
4. แจ้งตำรวจหากพบพฤติกรรมผิดปกติ – หากสงสัยว่าลูกหลานอาจถูกหลอก ควรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจทันที
สรุปเหตุการณ์
จากเหตุการณ์ระทึกที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ถือเป็น บทเรียนสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์ยังคงมีอยู่ และหาวิธีการล่อลวงเหยื่ออย่างต่อเนื่อง โชคดีที่คุณแม่ไหวตัวทันและสามารถช่วยลูกชายกลับมาได้อย่างปลอดภัย แต่เรื่องนี้ ไม่ใช่ทุกคนที่จะโชคดีแบบนี้
ดังนั้น ประชาชนควรตื่นตัวและเฝ้าระวัง เพื่อไม่ให้คนที่เรารักตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพเหล่านี้!




