Share Facebook LINE Twitter
หน้าแรก เว็บบอร์ด Chat ตรวจหวย ควิซ คำนวณ Pageแชร์ลิ้ง
หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

สิทธิบัตรยาในประเทศไทย การผูกขาดที่ส่งผลต่อราคายาและการเข้าถึงการรักษา

เนื้อหาโดย รู้ไว้ใช่ว่า by News Daily TH

สิทธิบัตรยาเป็นประเด็นที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบสาธารณสุขของประเทศไทย การผูกขาดสิทธิบัตรยาส่งผลโดยตรงต่อราคายาและการเข้าถึงยาของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่จำเป็นต้องใช้ยาราคาแพงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่บริษัทยาต้องการคุ้มครองการลงทุนในการวิจัยและพัฒนายาใหม่ผ่านระบบสิทธิบัตร แต่ในอีกด้านหนึ่ง การผูกขาดยาเป็นระยะเวลานานก็ส่งผลให้ราคายาสูงเกินกว่าที่ผู้บริโภคจะเข้าถึงได้ บทความนี้จะนำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับระบบสิทธิบัตรยาในประเทศไทย ผลกระทบต่อราคายา และกรณีศึกษาที่สำคัญ รวมถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสิทธิบัตรยาในประเทศไทย

สิทธิบัตรยาคืออะไร

สิทธิบัตรยา คือการคุ้มครองทางกฎหมายที่ให้สิทธิแก่ผู้ประดิษฐ์หรือผู้คิดค้นยาใหม่ในการผูกขาดการผลิต จำหน่าย หรือนำเข้ายาดังกล่าวในช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาและส่งเสริมให้เกิดการวิจัยและพัฒนายาใหม่ๆ

การคุ้มครองสิทธิบัตรยามีองค์ประกอบสำคัญ ได้แก่:

  1. ความใหม่ (Novelty): ยาที่จะได้รับสิทธิบัตรต้องเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีการเปิดเผยมาก่อน
  2. การประดิษฐ์ที่สูงขึ้น (Inventive Step): ต้องมีขั้นการประดิษฐ์ที่สูงขึ้นกว่าเดิม ไม่เป็นสิ่งที่ผู้มีความชำนาญในสาขานั้นๆ สามารถคาดเห็นได้โดยง่าย
  3. การประยุกต์ใช้ในทางอุตสาหกรรม (Industrial Application): สามารถนำไปผลิตหรือใช้ในทางอุตสาหกรรมได้จริง

การคุ้มครองสิทธิบัตรยาครอบคลุมทั้งตัวยาสำคัญ (Active Pharmaceutical Ingredient: API) กระบวนการผลิต สูตรตำรับ และบางกรณีรวมถึงวิธีการใช้ยาใหม่สำหรับโรคที่แตกต่างจากข้อบ่งใช้เดิม

ตามข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) สิทธิบัตรยามีบทบาทสำคัญในการพัฒนายาใหม่ โดยบริษัทยาใช้เงินลงทุนเฉลี่ย 2,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 83,200 ล้านบาท) ในการพัฒนายาตัวใหม่หนึ่งชนิดจนสามารถออกสู่ตลาดได้ (DiMasi et al., 2016)

เจ้าของผู้ผลิตและนำเข้ายาสามารถถือสิทธิบัตรยาได้กี่ปี

ในประเทศไทย ระยะเวลาการคุ้มครองสิทธิบัตรยาเป็นไปตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยกำหนดระยะเวลาคุ้มครองสิทธิบัตรยาไว้ดังนี้:

ระยะเวลาการคุ้มครองตามกฎหมายไทย

อย่างไรก็ตาม บริษัทยามักใช้กลยุทธ์ต่างๆ เพื่อยืดอายุการคุ้มครองสิทธิบัตรในทางปฏิบัติ เช่น:

  1. การจดสิทธิบัตรซ้อน (Evergreening): การจดสิทธิบัตรในส่วนประกอบย่อยของยา เช่น สูตรตำรับ รูปแบบยา หรือกระบวนการผลิตที่ปรับปรุงเล็กน้อย
  2. การขอสิทธิบัตรสำหรับข้อบ่งใช้ใหม่: การขอสิทธิบัตรเมื่อค้นพบว่ายาเดิมสามารถใช้รักษาโรคอื่นที่แตกต่างจากข้อบ่งใช้เดิม
  3. การยื่นคำขอสิทธิบัตรเป็นชุด (Patent Clustering): การยื่นคำขอสิทธิบัตรหลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับยาตัวเดียวกันในเวลาที่ต่างกัน

การเปรียบเทียบกับมาตรฐานสากล

ระยะเวลาคุ้มครองสิทธิบัตรยา 20 ปีของไทยสอดคล้องกับมาตรฐานระหว่างประเทศตามความตกลงว่าด้วยสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับการค้า (TRIPS Agreement) ขององค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิก

การศึกษาจาก Kapczynski et al. (2012) พบว่า การยืดอายุสิทธิบัตรผ่านกลยุทธ์ต่างๆ ทำให้ยาบางชนิดได้รับการคุ้มครองนานถึง 30-40 ปี แทนที่จะเป็น 20 ปีตามกฎหมาย ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อการเข้าสู่ตลาดของยาสามัญและราคายาโดยรวม

หลังจากหมดสิทธิบัตรยา ยาจะราคาถูกลงหรือไม่?

หลังจากสิทธิบัตรยาหมดอายุ โดยทั่วไปราคายามักลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากกลไกการแข่งขันในตลาดที่เปิดกว้างมากขึ้น โดยมีปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการลดลงของราคายา ดังนี้:

กลไกการลดราคายาหลังสิ้นสุดสิทธิบัตร

  1. การเข้าสู่ตลาดของยาสามัญ (Generic Drugs): เมื่อสิทธิบัตรหมดอายุ ผู้ผลิตยาสามัญสามารถผลิตและจำหน่ายยาที่มีตัวยาสำคัญเดียวกันได้โดยไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์
  2. การแข่งขันด้านราคา: ผู้ผลิตยาสามัญจะตั้งราคาที่ต่ำกว่ายาต้นแบบเพื่อแข่งขันในตลาด
  3. ต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า: ผู้ผลิตยาสามัญไม่ต้องลงทุนในการวิจัยและพัฒนายาใหม่ ทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำกว่ามาก

สถิติการลดลงของราคายา

ตามการศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ประเทศไทย พบว่า:

การศึกษาจาก FDA สหรัฐอเมริกา (2019) แสดงให้เห็นว่า เมื่อมีผู้ผลิตยาสามัญเข้าสู่ตลาด 5-10 ราย ราคายาโดยเฉลี่ยจะลดลงถึง 85% เมื่อเทียบกับราคายาต้นแบบ

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการลดลงของราคายา

อย่างไรก็ตาม การลดลงของราคายาอาจไม่เกิดขึ้นทันที หรืออาจลดลงในระดับที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น:

  1. ความซับซ้อนในการผลิต: ยาที่มีกระบวนการผลิตซับซ้อนอาจมีผู้ผลิตยาสามัญน้อยราย ทำให้ราคาลดลงช้ากว่า
  2. ขนาดของตลาด: ยาที่มีตลาดขนาดเล็กอาจไม่ดึงดูดผู้ผลิตยาสามัญมากนัก
  3. กลยุทธ์ของบริษัทยาต้นแบบ: บริษัทยาต้นแบบอาจใช้กลยุทธ์ต่างๆ เช่น การผลิตยาสามัญของตนเอง (Authorized Generics) หรือการทำข้อตกลงชะลอการเข้าสู่ตลาดของยาสามัญ (Pay-for-Delay)
  4. นโยบายด้านราคายาของภาครัฐ: การควบคุมราคายาโดยภาครัฐอาจส่งผลต่อการตั้งราคายาสามัญ

ตามรายงานของศูนย์วิจัยและพัฒนาระบบยาแห่งชาติ (2022) การแข่งขันของยาสามัญในประเทศไทยทำให้ราคายาลดลงโดยเฉลี่ย 45% ในปีแรกหลังสิ้นสุดสิทธิบัตร และลดลงถึง 70% ภายใน 5 ปี ซึ่งช่วยประหยัดงบประมาณด้านสาธารณสุขของประเทศได้อย่างมีนัยสำคัญ

ยกตัวอย่างยาที่เคยมีราคาสูง ราคาถูกลงหลังสิทธิบัตรยาสิ้นสุดลง

การสิ้นสุดของสิทธิบัตรยาส่งผลให้ราคายาลดลงอย่างมีนัยสำคัญในหลายกรณี ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นในประเทศไทย:

1. อะทอร์วาสแตติน (Atorvastatin) - ยาลดไขมันในเลือด

ชื่อการค้าต้นแบบ: ลิปิเตอร์ (Lipitor) ผลิตโดยบริษัท Pfizer ข้อมูลสิทธิบัตร: สิทธิบัตรหมดอายุในประเทศไทยปี พ.ศ. 2554

การเปลี่ยนแปลงของราคา:

ผลกระทบ: ทำให้ผู้ป่วยโรคไขมันในเลือดสูงเข้าถึงยาได้มากขึ้น และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าได้มากกว่า 200 ล้านบาทต่อปี ตามรายงานของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (2556)

2. ซิลเดนาฟิล (Sildenafil) - ยารักษาภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศชาย

ชื่อการค้าต้นแบบ: ไวอากร้า (Viagra) ผลิตโดยบริษัท Pfizer ข้อมูลสิทธิบัตร: สิทธิบัตรหมดอายุในประเทศไทยปี พ.ศ. 2555

การเปลี่ยนแปลงของราคา:

ผลกระทบ: เพิ่มการเข้าถึงยาของผู้ป่วยที่มีภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ และลดการลักลอบจำหน่ายยาปลอม

3. อีทราวิริน (Etravirine) - ยาต้านไวรัสเอชไอวี

ชื่อการค้าต้นแบบ: อินทีเลนซ์ (Intelence) ผลิตโดยบริษัท Janssen ข้อมูลสิทธิบัตร: สิทธิบัตรหมดอายุในประเทศไทยปี พ.ศ. 2561

การเปลี่ยนแปลงของราคา:

ผลกระทบ: ช่วยให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีเข้าถึงยาทางเลือกได้มากขึ้น และช่วยลดงบประมาณด้านยาของโครงการเอดส์แห่งชาติ

4. โดเซทาเซล (Docetaxel) - ยาเคมีบำบัดรักษามะเร็ง

ชื่อการค้าต้นแบบ: แท็กโซเทีย (Taxotere) ผลิตโดยบริษัท Sanofi-Aventis ข้อมูลสิทธิบัตร: สิทธิบัตรหมดอายุในประเทศไทยปี พ.ศ. 2553

การเปลี่ยนแปลงของราคา:

ผลกระทบ: ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งอย่างมีนัยสำคัญ และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงยาเคมีบำบัด ตามรายงานของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ (2555)

5. ครีโซทินิบ (Crizotinib) - ยารักษามะเร็งปอดชนิด NSCLC

ชื่อการค้าต้นแบบ: ซาลโคริ (Xalkori) ผลิตโดยบริษัท Pfizer ข้อมูลสิทธิบัตร: สิทธิบัตรหมดอายุบางส่วนในประเทศไทยปี พ.ศ. 2563

การเปลี่ยนแปลงของราคา:

ผลกระทบ: ช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะลุกลาม ALK-positive สามารถเข้าถึงยาเป้าหมายที่มีประสิทธิภาพสูงได้มากขึ้น และช่วยลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลโดยรวม

ตามการศึกษาของคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (2023) การลดลงของราคายาหลังสิ้นสุดสิทธิบัตรในประเทศไทยช่วยประหยัดงบประมาณด้านสาธารณสุขโดยรวมได้ประมาณ 8,000-10,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากต่อระบบสาธารณสุขและการเข้าถึงยาของประชาชน

ยกตัวอย่างยาที่เคยมีสิทธิบัตร หลังสิทธิบัตรยาสิ้นสุดลงมีการผลิตเองภายในประเทศไทย

การสิ้นสุดสิทธิบัตรยาเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตในประเทศไทยสามารถผลิตยาสามัญทดแทนการนำเข้า ซึ่งช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความมั่นคงทางยาของประเทศ ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างสำคัญของยาที่เคยมีสิทธิบัตรและปัจจุบันผลิตได้เองในประเทศไทย:

1. เอฟาวิเรนซ์ (Efavirenz) - ยาต้านไวรัสเอชไอวี

ชื่อการค้าต้นแบบ: สโตครินหรือซัสทิวา (Stocrin/Sustiva) ผลิตโดยบริษัท MSD ข้อมูลสิทธิบัตร: ได้รับการบังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตร (CL) ในปี พ.ศ. 2549 และสิทธิบัตรหมดอายุในปี พ.ศ. 2556

ผู้ผลิตในประเทศไทย:

ผลกระทบ:

2. โคลพิโดเกรล (Clopidogrel) - ยาต้านการแข็งตัวของเลือด

ชื่อการค้าต้นแบบ: พลาวิกซ์ (Plavix) ผลิตโดยบริษัท Sanofi-Aventis ข้อมูลสิทธิบัตร: สิทธิบัตรหมดอายุในประเทศไทยปี พ.ศ. 2555

ผู้ผลิตในประเทศไทย:

ผลกระทบ:

3. ลีโทรโซล (Letrozole) - ยารักษามะเร็งเต้านม

ชื่อการค้าต้นแบบ: เฟมารา (Femara) ผลิตโดยบริษัท Novartis ข้อมูลสิทธิบัตร: สิทธิบัตรหมดอายุในประเทศไทยปี พ.ศ. 2554

ผู้ผลิตในประเทศไทย:

ผลกระทบ:

4. โอเมพราโซล (Omeprazole) - ยารักษาโรคกระเพาะอาหาร

ชื่อการค้าต้นแบบ: โลเซ็ค (Losec) ผลิตโดยบริษัท AstraZeneca ข้อมูลสิทธิบัตร: สิทธิบัตรหมดอายุในประเทศไทยปี พ.ศ. 2548

ผู้ผลิตในประเทศไทย:

ผลกระทบ:

5. ลามิวูดีน (Lamivudine) - ยาต้านไวรัสเอชไอวีและไวรัสตับอักเสบบี

ชื่อการค้าต้นแบบ: เอพิเวียร์ (Epivir) ผลิตโดยบริษัท GlaxoSmithKline ข้อมูลสิทธิบัตร: สิทธิบัตรหมดอายุในประเทศไทยปี พ.ศ. 2550

ผู้ผลิตในประเทศไทย:

ผลกระทบ:

ตามการศึกษาของสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (2022) การผลิตยาสามัญในประเทศไทยหลังสิ้นสุดสิทธิบัตรไม่เพียงแต่ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านยาและเพิ่มการเข้าถึงยา แต่ยังช่วยพัฒนาขีดความสามารถทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมในอุตสาหกรรมยาของประเทศ รวมถึงสร้างงานและสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

กฎหมายสิทธิบัตรยาในประเทศไทย

กฎหมายหลักที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสิทธิบัตรยาในประเทศไทย คือ พระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม โดยมีรายละเอียดสำคัญดังต่อไปนี้:

พระราชบัญญัติสิทธิบัตร และการแก้ไขเพิ่มเติม

  1. พระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522: กฎหมายฉบับแรกที่กำหนดระบบการคุ้มครองสิทธิบัตรในประเทศไทย
  2. พระราชบัญญัติสิทธิบัตร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535: ขยายความคุ้มครองสิทธิบัตรครอบคลุมถึงผลิตภัณฑ์ยา (เดิมคุ้มครองเฉพาะกระบวนการผลิต)
  3. พระราชบัญญัติสิทธิบัตร (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2542: ปรับปรุงเพื่อให้สอดคล้องกับความตกลงทริปส์ (TRIPS) ขององค์การการค้าโลก
  4. พระราชบัญญัติสิทธิบัตร (ฉบับที่ 4-5) พ.ศ. 2564-2565: ปรับปรุงเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานระหว่างประเทศและเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารจัดการ

สาระสำคัญเกี่ยวกับสิทธิบัตรยา

  1. เงื่อนไขการขอรับสิทธิบัตรยา:
    • การประดิษฐ์ต้องมีความใหม่ (Novelty)
    • มีขั้นการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น (Inventive Step)
    • สามารถประยุกต์ใช้ในทางอุตสาหกรรมได้ (Industrial Application)
  2. สิ่งที่ไม่สามารถขอรับสิทธิบัตรได้ (มาตรา 9):
    • จุลชีพและส่วนประกอบส่วนใดส่วนหนึ่งของจุลชีพที่มีอยู่ตามธรรมชาติ
    • วิธีการวินิจฉัย บำบัด หรือรักษาโรคมนุษย์หรือสัตว์
    • พืช สัตว์ หรือสารสกัดจากพืชหรือสัตว์
  3. อายุการคุ้มครองสิทธิบัตรยา:
    • 20 ปี นับจากวันยื่นคำขอ (มาตรา 35)
    • ไม่สามารถต่ออายุได้
  4. สิทธิของผู้ทรงสิทธิบัตร (มาตรา 36):
    • สิทธิแต่ผู้เดียวในการผลิต ใช้ ขาย มีไว้เพื่อขาย เสนอขาย หรือนำเข้ามาในราชอาณาจักร
    • สิทธิในการอนุญาตให้บุคคลอื่นใช้สิทธิตามสิทธิบัตร

ข้อยกเว้นและความยืดหยุ่นในกฎหมายสิทธิบัตรยา

  1. การบังคับใช้สิทธิโดยรัฐ (Government Use) (มาตรา 51):
    • รัฐมนตรี ทบวง กรม อาจใช้สิทธิตามสิทธิบัตรใดๆ โดยเสียค่าตอบแทนที่เป็นธรรมแก่ผู้ทรงสิทธิบัตร
    • ต้องแจ้งให้ผู้ทรงสิทธิบัตรทราบเป็นหนังสือโดยไม่ชักช้า
    • ไม่ต้องเจรจากับเจ้าของสิทธิบัตรก่อน
  2. การบังคับใช้สิทธิ (Compulsory Licensing) (มาตรา 46-50):
    • สามารถออกใบอนุญาตบังคับใช้สิทธิได้หากมีการใช้สิทธิบัตรโดยไม่เป็นธรรม หรือไม่มีการใช้สิทธิบัตรภายในประเทศโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
    • ต้องพยายามขออนุญาตจากผู้ทรงสิทธิบัตรก่อนในเงื่อนไขและระยะเวลาที่เหมาะสม
    • ต้องเสียค่าตอบแทนที่เป็นธรรมแก่ผู้ทรงสิทธิบัตร
  3. ข้อยกเว้นเพื่อการวิจัยและพัฒนา (มาตรา 36 วรรค 2):
    • การกระทำเพื่อทดลองหรือศึกษาวิจัยไม่ถือเป็นการละเมิดสิทธิบัตร
    • ช่วยให้สามารถพัฒนายาสามัญได้ก่อนสิทธิบัตรหมดอายุ (Bolar Provision)

การบังคับใช้สิทธิโดยรัฐในประเทศไทย

ประเทศไทยเคยใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิโดยรัฐ (CL) กับยาหลายรายการในช่วงปี พ.ศ. 2549-2551 ซึ่งเป็นที่ถกเถียงในระดับนานาชาติ ได้แก่:

  1. เอฟาวิเรนซ์ (Efavirenz) - ยาต้านไวรัสเอชไอวี (พ.ศ. 2549)
  2. โลพินาเวียร์/ริโทนาเวียร์ (Lopinavir/Ritonavir) - ยาต้านไวรัสเอชไอวี (พ.ศ. 2550)
  3. โคลพิโดเกรล (Clopidogrel) - ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (พ.ศ. 2550)
  4. โดเซแท็กเซล (Docetaxel) - ยาเคมีบำบัดรักษามะเร็ง (พ.ศ. 2551)
  5. เลทโทรโซล (Letrozole) - ยารักษามะเร็งเต้านม (พ.ศ. 2551)
  6. เออร์โลทินิบ (Erlotinib) - ยารักษามะเร็งปอด (พ.ศ. 2551)
  7. อิมาทินิบ (Imatinib) - ยารักษามะเร็งเม็ดเลือดขาว (พ.ศ. 2551)

ตามการศึกษาของมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ (2560) การบังคับใช้สิทธิในประเทศไทยช่วยประหยัดงบประมาณด้านสาธารณสุขได้กว่า 15,000 ล้านบาทในช่วง 10 ปี และช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงยาจำเป็นได้มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ความท้าทายและการปฏิรูปกฎหมายสิทธิบัตรยา

ปัจจุบัน มีการเสนอให้มีการปฏิรูปกฎหมายสิทธิบัตรยาในประเด็นต่างๆ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการส่งเสริมนวัตกรรมและการเข้าถึงยา เช่น:

  1. การตรวจสอบคำขอสิทธิบัตรยาที่เข้มงวดขึ้น: เพื่อป้องกันการจดสิทธิบัตรซ้อน (Evergreening) และลดการให้สิทธิบัตรกับการปรับปรุงเล็กน้อย
  2. การเพิ่มการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม: ในกระบวนการคัดค้านหรือตรวจสอบคำขอสิทธิบัตรยา
  3. การใช้ประโยชน์จากความยืดหยุ่นในความตกลงทริปส์ (TRIPS Flexibilities): อย่างเต็มที่เพื่อคุ้มครองสาธารณสุข
  4. การพัฒนาระบบฐานข้อมูลสิทธิบัตรยา: ที่เข้าถึงได้ง่ายและครบถ้วนเพื่อความโปร่งใส

ความตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง

กฎหมายสิทธิบัตรยาของไทยยังได้รับอิทธิพลจากความตกลงระหว่างประเทศหลายฉบับ ได้แก่:

  1. ความตกลงทริปส์ (TRIPS Agreement): กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำของการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา รวมถึงสิทธิบัตรยา
  2. ปฏิญญาโดฮาว่าด้วยความตกลงทริปส์และการสาธารณสุข (Doha Declaration on TRIPS and Public Health, 2001): ยืนยันสิทธิของประเทศสมาชิกในการใช้มาตรการยืดหยุ่นเพื่อคุ้มครองสาธารณสุข
  3. ความตกลงการค้าเสรี (FTAs): มักมีข้อกำหนดด้านทรัพย์สินทางปัญญาที่เข้มงวดกว่าความตกลงทริปส์ (TRIPS-Plus)

ในการศึกษาของคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (2023) ได้วิเคราะห์ว่าการปรับสมดุลของระบบสิทธิบัตรยาในประเทศไทยมีความสำคัญต่อการพัฒนาระบบสาธารณสุขและอุตสาหกรรมยาในประเทศอย่างยั่งยืน โดยต้องคำนึงถึงทั้งการส่งเสริมนวัตกรรมและการเข้าถึงยาของประชาชน

ผลกระทบของระบบสิทธิบัตรยาต่อประเทศไทย

ระบบสิทธิบัตรยามีผลกระทบหลายด้านต่อประเทศไทย ทั้งในแง่บวกและแง่ลบ ดังต่อไปนี้:

ผลกระทบด้านบวก

  1. การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนายาใหม่:
    • ช่วยดึงดูดการลงทุนในการวิจัยและพัฒนายาของบริษัทยาต่างชาติในประเทศไทย
    • ส่งเสริมความร่วมมือด้านการวิจัยระหว่างบริษัทยาและสถาบันวิจัยในประเทศ
  2. การถ่ายทอดเทคโนโลยี:
    • เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีและความรู้จากบริษัทยาต่างชาติสู่ผู้ผลิตในประเทศ
    • ช่วยพัฒนาขีดความสามารถทางเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมยาในประเทศ
  3. การเข้าถึงยาใหม่:
    • ผู้ป่วยไทยสามารถเข้าถึงยาใหม่ที่มีประสิทธิภาพได้เร็วขึ้น
    • ยาใหม่บางชนิดถูกนำเข้าสู่ตลาดไทยพร้อมกับตลาดโลก

ผลกระทบด้านลบ

  1. ราคายาที่สูงขึ้น:
    • การผูกขาดสิทธิบัตรทำให้ราคายาสูงกว่าที่ควรเป็น 3-10 เท่า ตามการศึกษาของศูนย์วิจัยและพัฒนาระบบยาแห่งชาติ (2021)
    • ส่งผลกระทบต่องบประมาณด้านสาธารณสุขของประเทศและการเข้าถึงยาของประชาชน
  2. ข้อจำกัดในการพัฒนาอุตสาหกรรมยาในประเทศ:
    • ผู้ผลิตยาในประเทศไม่สามารถผลิตยาที่มีสิทธิบัตร ทำให้การพัฒนาอุตสาหกรรมยาในประเทศเป็นไปอย่างจำกัด
    • ต้องพึ่งพาการนำเข้ายาจากต่างประเทศ ส่งผลต่อความมั่นคงทางยาของประเทศ
  3. ความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงยา:
    • ผู้ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดีสามารถเข้าถึงยาที่มีสิทธิบัตรได้ ในขณะที่ผู้มีรายได้น้อยไม่สามารถเข้าถึงได้
    • เกิดความเหลื่อมล้ำในระบบสาธารณสุข

แนวทางการแก้ไขปัญหาการผูกขาดยาในประเทศไทย

หลายภาคส่วนได้เสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาการผูกขาดยาในประเทศไทย เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาและการเข้าถึงยาของประชาชน ดังต่อไปนี้:

แนวทางด้านกฎหมายและนโยบาย

  1. การปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบสิทธิบัตรยา:
    • ตรวจสอบคำขอสิทธิบัตรยาอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะการจดสิทธิบัตรซ้อน (Evergreening)
    • เปิดโอกาสให้ภาคประชาสังคมมีส่วนร่วมในการคัดค้านคำขอสิทธิบัตรยา
  2. การใช้มาตรการยืดหยุ่นตามความตกลงทริปส์:
    • ใช้การบังคับใช้สิทธิ (CL) อย่างเหมาะสมในกรณีที่จำเป็นเพื่อสาธารณสุข
    • ใช้ข้อยกเว้นเพื่อการวิจัยและพัฒนา (Bolar Provision) เพื่อเตรียมความพร้อมในการผลิตยาสามัญทันทีที่สิทธิบัตรหมดอายุ
  3. การกำหนดนโยบายราคายาที่เหมาะสม:
    • จัดทำระบบการต่อรองราคายาแบบรวมศูนย์ (Central Negotiation)
    • กำหนดราคาอ้างอิงยา (Reference Pricing) เพื่อควบคุมราคายาที่มีสิทธิบัตร

แนวทางด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมยาในประเทศ

  1. การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนายาในประเทศ:
    • สนับสนุนการวิจัยและพัฒนายาใหม่โดยสถาบันวิจัยและมหาวิทยาลัยของไทย
    • ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษาในการพัฒนายา
  2. การเพิ่มศักยภาพการผลิตยาสามัญในประเทศ:
    • พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีในการผลิตยาที่ได้มาตรฐานสากล
    • สนับสนุนการผลิตวัตถุดิบทางเภสัชกรรม (API) ในประเทศเพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้า

 

การสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ:

ร่วมมือกับประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ในการผลักดันการปฏิรูประบบสิทธิบัตรยาระหว่างประเทศ

แลกเปลี่ยนข้อมูลและความรู้ด้านการบริหารจัดการสิทธิบัตรยาและการใช้มาตรการยืดหยุ่นตามความตกลงทริปส์

แนวทางด้านการเพิ่มการเข้าถึงยา

การพัฒนาระบบประกันสุขภาพที่ครอบคลุม:

ขยายรายการยาในบัญชียาหลักแห่งชาติให้ครอบคลุมยาจำเป็นที่มีสิทธิบัตร

จัดสรรงบประมาณที่เพียงพอสำหรับการเบิกจ่ายยาที่มีสิทธิบัตรในระบบประกันสุขภาพ

การส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล:

รณรงค์ให้แพทย์และผู้ป่วยตระหนักถึงการใช้ยาสามัญทดแทนยาต้นแบบที่มีคุณภาพเทียบเท่า

พัฒนาแนวทางเวชปฏิบัติที่เน้นความคุ้มค่าและประสิทธิผลของการใช้ยา

การพัฒนาระบบข้อมูลด้านยาและสิทธิบัตร:

จัดทำฐานข้อมูลสิทธิบัตรยาที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายสำหรับประชาชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง

เผยแพร่ข้อมูลเปรียบเทียบราคายาและทางเลือกในการรักษาเพื่อให้ผู้บริโภคมีข้อมูลในการตัดสินใจ

ตามการศึกษาของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (2023) การดำเนินการตามแนวทางข้างต้นจะช่วยลดผลกระทบจากการผูกขาดยาและเพิ่มการเข้าถึงยาของประชาชนไทยได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรังและโรคที่มีค่าใช้จ่ายในการรักษาสูง

ความสมดุลระหว่างการคุ้มครองสิทธิบัตรและการเข้าถึงยา

การสร้างสมดุลระหว่างการคุ้มครองสิทธิบัตรยาและการเข้าถึงยาเป็นความท้าทายสำคัญของระบบสาธารณสุขทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย โดยมีประเด็นที่ต้องพิจารณาดังนี้:

ความสำคัญของการสร้างสมดุล

การส่งเสริมนวัตกรรมควบคู่กับการเข้าถึงยา:

การคุ้มครองสิทธิบัตรมีความจำเป็นในการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนายาใหม่

ในขณะเดียวกัน ประชาชนควรสามารถเข้าถึงยาจำเป็นได้ในราคาที่เหมาะสม

ความรับผิดชอบของภาครัฐและเอกชน:

ภาครัฐมีหน้าที่ในการคุ้มครองสิทธิในการเข้าถึงยาของประชาชน

บริษัทยามีความรับผิดชอบทางสังคมในการกำหนดราคายาที่เหมาะสมและมีนโยบายการเข้าถึงยาสำหรับผู้มีรายได้น้อย

ความสำคัญของการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน:

การกำหนดนโยบายด้านสิทธิบัตรยาควรมีการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม

การรับฟังความคิดเห็นจากผู้ป่วยและตัวแทนผู้บริโภคเป็นสิ่งสำคัญ

แนวทางในการสร้างสมดุล

การใช้มาตรการยืดหยุ่นอย่างเหมาะสม:

ใช้มาตรการยืดหยุ่นตามความตกลงทริปส์ เช่น การบังคับใช้สิทธิ (CL) เมื่อมีความจำเป็นด้านสาธารณสุข

ใช้มาตรการดังกล่าวอย่างโปร่งใส เป็นธรรม และสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ

การส่งเสริมนวัตกรรมด้านยาในประเทศ:

ลงทุนในการวิจัยและพัฒนายาของภาครัฐและสถาบันการศึกษา

พัฒนาระบบสิทธิบัตรที่สนับสนุนทั้งการวิจัยพื้นฐานและการพัฒนายาใหม่

การกำหนดนโยบายราคายาที่เหมาะสม:

พัฒนากลไกการกำหนดราคายาที่คำนึงถึงความสามารถในการจ่ายของประชาชนและความยั่งยืนของระบบสาธารณสุข

ส่งเสริมความโปร่งใสในการกำหนดราคายาและต้นทุนการวิจัยและพัฒนา

ประเทศไทยได้ดำเนินการหลายมาตรการเพื่อสร้างสมดุลดังกล่าว เช่น การใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิโดยรัฐ (CL) การพัฒนาอุตสาหกรรมยาสามัญในประเทศ และการเจรจาต่อรองราคายา ซึ่งตามการศึกษาของสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (2023) พบว่ามาตรการเหล่านี้ช่วยเพิ่มการเข้าถึงยาของประชาชนไทยอย่างมีนัยสำคัญในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

บทบาทของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในระบบสิทธิบัตรยา

การขับเคลื่อนระบบสิทธิบัตรยาที่เป็นธรรมและสมดุลต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยแต่ละภาคส่วนมีบทบาทดังนี้:

ภาครัฐ

กระทรวงสาธารณสุข:

กำหนดนโยบายด้านยาและการเข้าถึงยาของประชาชน

พัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพที่ครอบคลุมยาจำเป็นทุกชนิด

กรมทรัพย์สินทางปัญญา:

ดูแลระบบสิทธิบัตรให้มีความโปร่งใสและเป็นธรรม

ตรวจสอบคำขอสิทธิบัตรยาอย่างเข้มงวดตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด

องค์การเภสัชกรรม:

ผลิตยาสามัญที่มีคุณภาพและราคาเหมาะสมเพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชน

วิจัยและพัฒนายาที่มีความสำคัญต่อระบบสาธารณสุขของประเทศ

ภาคเอกชน

บริษัทยาต้นแบบ:

ดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ ตั้งราคายาที่เหมาะสม

จัดทำโครงการช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีรายได้น้อยให้เข้าถึงยาได้

บริษัทผลิตยาสามัญ:

ผลิตยาสามัญที่มีคุณภาพตามมาตรฐานสากล

เตรียมความพร้อมในการผลิตยาสามัญทันทีที่สิทธิบัตรหมดอายุ

ภาคประชาสังคมและวิชาการ

องค์กรพัฒนาเอกชนด้านสุขภาพ:

ติดตามและผลักดันนโยบายด้านสิทธิบัตรยาและการเข้าถึงยา

ให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับสิทธิในการเข้าถึงยา

สถาบันการศึกษาและวิจัย:

ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบของระบบสิทธิบัตรยาต่อการเข้าถึงยา

พัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมด้านยาที่ตอบสนองต่อความต้องการของประเทศ

การศึกษาของคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (2022) ชี้ให้เห็นว่าการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการกำหนดนโยบายด้านสิทธิบัตรยาและการเข้าถึงยาเป็นปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่ระบบยาที่มีความสมดุลและยั่งยืนในประเทศไทย

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับสิทธิบัตรยาในประเทศไทย

1. สิทธิบัตรยาคืออะไร และมีความสำคัญอย่างไร?

สิทธิบัตรยา คือ การคุ้มครองทางกฎหมายที่ให้สิทธิแก่ผู้ประดิษฐ์หรือผู้คิดค้นยาใหม่ในการผูกขาดการผลิต จำหน่าย หรือนำเข้ายาดังกล่าวในช่วงระยะเวลาหนึ่ง สิทธิบัตรยามีความสำคัญในการส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในการวิจัยและพัฒนายาใหม่ๆ โดยการให้ผลตอบแทนจากการลงทุนผ่านสิทธิผูกขาดชั่วคราว อย่างไรก็ตาม สิทธิบัตรยาก็อาจส่งผลให้ราคายาสูงขึ้นและจำกัดการเข้าถึงยาของประชาชน

2. ระยะเวลาการคุ้มครองสิทธิบัตรยาในประเทศไทยเป็นอย่างไร?

ตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ระยะเวลาการคุ้มครองสิทธิบัตรยาในประเทศไทยคือ 20 ปี นับจากวันยื่นคำขอจดทะเบียนสิทธิบัตร และไม่สามารถต่ออายุได้ เมื่อครบ 20 ปีแล้ว สิทธิบัตรจะสิ้นสุดลงโดยอัตโนมัติ และผู้ผลิตรายอื่นสามารถผลิตยาดังกล่าวได้โดยไม่ถือเป็นการละเมิดสิทธิบัตร

3. การบังคับใช้สิทธิโดยรัฐ (CL) คืออะไร และประเทศไทยเคยใช้มาตรการนี้เมื่อใด?

การบังคับใช้สิทธิโดยรัฐ (Government Use) หรือที่เรียกว่า CL (Compulsory Licensing) คือมาตรการที่รัฐสามารถใช้สิทธิตามสิทธิบัตรได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ทรงสิทธิบัตร แต่ต้องจ่ายค่าตอบแทนที่เป็นธรรม ตามมาตรา 51 ของพระราชบัญญัติสิทธิบัตร

ประเทศไทยเคยประกาศใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิโดยรัฐกับยา 7 รายการในช่วงปี พ.ศ. 2549-2551 ได้แก่ ยาต้านไวรัสเอชไอวี 2 รายการ (เอฟาวิเรนซ์ และโลพินาเวียร์/ริโทนาเวียร์) ยาต้านการแข็งตัวของเลือด 1 รายการ (โคลพิโดเกรล) และยารักษามะเร็ง 4 รายการ (โดเซแท็กเซล, เลทโทรโซล, เออร์โลทินิบ และอิมาทินิบ)

4. ยาสามัญ (Generic Drugs) คืออะไร และแตกต่างจากยาต้นแบบอย่างไร?

ยาสามัญ คือยาที่มีตัวยาสำคัญเดียวกันกับยาต้นแบบ (Original Drugs) แต่ผลิตขึ้นหลังจากที่สิทธิบัตรของยาต้นแบบหมดอายุลงแล้ว ยาสามัญและยาต้นแบบมีความแตกต่างดังนี้:

ตัวยาสำคัญ: ทั้งยาสามัญและยาต้นแบบมีตัวยาสำคัญเดียวกัน ในปริมาณเท่ากัน

สารปรุงแต่ง: อาจแตกต่างกันในส่วนของสารปรุงแต่ง (Excipients) ซึ่งไม่ส่งผลต่อการรักษา

ราคา: ยาสามัญมักมีราคาถูกกว่ายาต้นแบบประมาณ 60-90% เนื่องจากไม่ต้องลงทุนในการวิจัยและพัฒนา

การควบคุมคุณภาพ: ยาสามัญต้องผ่านการทดสอบชีวสมมูล (Bioequivalence) เพื่อยืนยันว่ามีประสิทธิภาพในการรักษาเทียบเท่ายาต้นแบบ

5. การจดสิทธิบัตรซ้อน (Evergreening) คืออะไร และส่งผลกระทบอย่างไร?

การจดสิทธิบัตรซ้อน (Evergreening) คือกลยุทธ์ที่บริษัทยาใช้ในการยืดอายุการคุ้มครองสิทธิบัตรโดยการขอจดสิทธิบัตรเพิ่มเติมสำหรับการปรับปรุงเล็กน้อยของยาเดิมที่ใกล้หมดอายุสิทธิบัตร เช่น การเปลี่ยนรูปแบบยา (เช่น จากยาเม็ดเป็นยาน้ำ) การเปลี่ยนวิธีการให้ยา หรือการค้นพบข้อบ่งใช้ใหม่

ผลกระทบของการจดสิทธิบัตรซ้อน ได้แก่:

ยืดระยะเวลาการผูกขาดตลาดของยาต้นแบบ

ทำให้ยาสามัญไม่สามารถเข้าสู่ตลาดได้ แม้ว่าสิทธิบัตรหลักจะหมดอายุแล้ว

ทำให้ราคายายังคงสูงต่อไป ส่งผลกระทบต่อการเข้าถึงยาของประชาชน

6. ข้อดีและข้อเสียของการคุ้มครองสิทธิบัตรยามีอะไรบ้าง?

ข้อดีของการคุ้มครองสิทธิบัตรยา:

ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนายาใหม่ โดยการคุ้มครองการลงทุน

ช่วยให้มีการเปิดเผยข้อมูลทางเทคนิคของยา ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาต่อยอด

ดึงดูดการลงทุนจากบริษัทยาต่างชาติและการถ่ายทอดเทคโนโลยี

ข้อเสียของการคุ้มครองสิทธิบัตรยา:

ทำให้ราคายาสูงขึ้นเนื่องจากการผูกขาดตลาด

จำกัดการเข้าถึงยาของประชาชน โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา

อาจนำไปสู่การใช้กลยุทธ์ต่างๆ เช่น การจดสิทธิบัตรซ้อน เพื่อยืดอายุการคุ้มครอง

7. ประเทศไทยมีกลไกอะไรบ้างในการควบคุมราคายาที่มีสิทธิบัตร?

ประเทศไทยมีกลไกในการควบคุมราคายาที่มีสิทธิบัตร ดังนี้:

คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ: กำหนดนโยบายด้านราคายาและการเข้าถึงยา

การต่อรองราคายาแบบรวมศูนย์: โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และกรมบัญชีกลาง

การกำหนดราคากลางของยา: เพื่อใช้ในการจัดซื้อยาของหน่วยงานภาครัฐ

การบังคับใช้สิทธิโดยรัฐ (CL): ในกรณีที่ยามีราคาสูงเกินไปและมีความจำเป็นด้านสาธารณสุข

การส่งเสริมการใช้ยาสามัญ: ผ่านนโยบายบัญชียาหลักแห่งชาติและการรณรงค์ให้ความรู้แก่บุคลากรทางการแพทย์และประชาชน

8. วิธีการตรวจสอบว่ายาใดมีสิทธิบัตรหรือไม่ ทำได้อย่างไร?

การตรวจสอบสถานะสิทธิบัตรของยาในประเทศไทยสามารถทำได้ดังนี้:

สืบค้นจากฐานข้อมูลสิทธิบัตรของกรมทรัพย์สินทางปัญญา: ที่เว็บไซต์ www.ipthailand.go.th

ตรวจสอบจากฐานข้อมูลยาของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.): ที่เว็บไซต์ www.fda.moph.go.th

สอบถามข้อมูลจากองค์การเภสัชกรรม: ซึ่งมีหน่วยงานที่ติดตามข้อมูลสิทธิบัตรยาในประเทศไทย

ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพย์สินทางปัญญา: เช่น ทนายความหรือตัวแทนสิทธิบัตร

การตรวจสอบสถานะสิทธิบัตรยามีความสำคัญสำหรับผู้ผลิตยาสามัญที่ต้องการเตรียมความพร้อมในการผลิตยาทันทีที่สิทธิบัตรหมดอายุ รวมถึงองค์กรด้านสาธารณสุขที่ต้องการข้อมูลเพื่อวางแผนนโยบายด้านยา

9. ผู้บริโภคควรทำอย่างไรเมื่อพบว่ายาที่จำเป็นมีราคาสูงเกินไป?

เมื่อผู้บริโภคพบว่ายาที่จำเป็นมีราคาสูงเกินไป สามารถดำเนินการได้ดังนี้:

ปรึกษาแพทย์เพื่อขอทางเลือกในการรักษา: เช่น ยาสามัญทดแทนที่มีประสิทธิภาพเทียบเท่า

ติดต่อระบบหลักประกันสุขภาพ: ตรวจสอบสิทธิและขอรับความช่วยเหลือด้านค่ารักษาพยาบาล

ติดต่อโครงการช่วยเหลือผู้ป่วย: ของบริษัทยาหรือองค์กรไม่แสวงผลกำไร

แจ้งข้อมูลราคายาสูงเกินควร: ต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หรือองค์กรคุ้มครองผู้บริโภค

ร่วมกับกลุ่มผู้ป่วย: เพื่อผลักดันนโยบายด้านการเข้าถึงยา

10. แนวโน้มของระบบสิทธิบัตรยาในอนาคตเป็นอย่างไร?

แนวโน้มของระบบสิทธิบัตรยาในอนาคตมีดังนี้:

การปฏิรูประบบสิทธิบัตรยา: เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการส่งเสริมนวัตกรรมและการเข้าถึงยา

การเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบคำขอสิทธิบัตรยา: เพื่อป้องกันการจดสิทธิบัตรซ้อน

การพัฒนาระบบข้อมูลสิทธิบัตรยาที่โปร่งใสและเข้าถึงได้: เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถติดตามสถานะสิทธิบัตรยาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ: ในการแบ่งปันข้อมูลและแนวปฏิบัติที่ดีในการบริหารจัดการระบบสิทธิบัตรยา

การพัฒนานวัตกรรมรูปแบบใหม่: เช่น กองทุนรางวัลนวัตกรรม (Innovation Prize Fund) หรือการจัดซื้อล่วงหน้า (Advance Market Commitment) เพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนายาโดยไม่ต้องพึ่งพาระบบสิทธิบัตรแต่เพียงอย่างเดียว

การเพิ่มบทบาทของรัฐในการวิจัยและพัฒนายา: โดยเฉพาะยาสำหรับโรคที่ถูกละเลยหรือยาที่มีความสำคัญต่อสาธารณสุข

บทสรุปสิทธิบัตรยาในประเทศไทย

ระบบสิทธิบัตรยาเป็นประเด็นที่มีความซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับหลายมิติ ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และสาธารณสุข ในประเทศไทย การสร้างสมดุลระหว่างการคุ้มครองสิทธิบัตรเพื่อส่งเสริมนวัตกรรมและการส่งเสริมการเข้าถึงยาของประชาชนเป็นความท้าทายสำคัญที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

ประสบการณ์ของประเทศไทยในการบริหารจัดการระบบสิทธิบัตรยา ทั้งการใช้มาตรการยืดหยุ่นตามความตกลงทริปส์ การพัฒนาอุตสาหกรรมยาสามัญในประเทศ และการเจรจาต่อรองราคายา ได้สร้างบทเรียนสำคัญสำหรับประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ในการดำเนินนโยบายด้านสิทธิบัตรยาและการเข้าถึงยา

การห้ามผูกขาดยาในประเทศไทยไม่ได้หมายถึงการยกเลิกระบบสิทธิบัตรยาทั้งหมด แต่หมายถึงการพัฒนาระบบสิทธิบัตรที่สมดุลและเป็นธรรม ที่ส่งเสริมทั้งการวิจัยและพัฒนายาใหม่และการเข้าถึงยาของประชาชน เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงยาที่จำเป็นได้ในราคาที่เหมาะสม

ในอนาคต ประเทศไทยจำเป็นต้องพัฒนาระบบสิทธิบัตรยาและนโยบายด้านยาที่ตอบสนองต่อความท้าทายใหม่ๆ เช่น การระบาดของโรคอุบัติใหม่ การดื้อยาต้านจุลชีพ และการเพิ่มขึ้นของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โดยคำนึงถึงหลักการพื้นฐานของการมีสุขภาพที่ดีเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน


บทความที่น่าสนใจ by News Daily TH
ยาปฏิชีวนะ มรดกจากสงครามโลกที่มีค่ากับมวลมนุษยชาติ

วิตามินที่กินเสริมกัน รู้ไหมเขาสังเคราะห์มาจากอะไร?

แผ่นแปะลดไข้ ที่ไม่ได้ช่วยลดไข้!?

 

หากอ่านแล้วบทความมีประโยชน์ กดโหวต ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️ ให้ด้วยนะคะ

เนื้อหาโดย: News Daily TH
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
มาเป็นคนแรกที่ VOTE ให้กระทู้นี้
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
พระเอกดาวรุ่ง เปิดใจ! ไม่หวั่นดราม่าถูกมองเป็นลูกรักคุณบอยคุณลุงเชฟกระทะฮ้าง ถามกลับสรรพากร ตอนตัวเองลำบากไปอยู่ที่ไหนมา หลังจากถูกเรียกเก็บภาษี 2 แสนบาทซึ้งจนใจสั่น! หนุ่ม กะลา เคลื่อนไหวล่าสุด ทำแฟนๆ น้ำตาไหลช่างรับเหมา เมืองคอน สุดเซ็ง! ถูกรางวัลที่ 1 ชวด 30 ล้านรวมภาพเรียกรอยยิ้มประจำวันนี้ วันที่ได้ยินดีกับแชมป์คาราบาวคัพ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ทด้วยเด้อ รอบชิงเมื่อคืนสนุกมากๆดราม่าที่ภูเก็ต! ซิสเตอร์แจง เด็กพม่าเรียนติดแอร์เย็นฉ่ำ – เหตุผลจริงเพราะเสียงดังรบกวนชุมชน"ตอนลำบากไปอยู่ไหนมา?" เซฟ กระทะอ้าง โพสต์ตัดพ้อ หลังโดนเรียกเก็บภาษี"แพรวพราว" เปิดใจเคลียร์ทุกดราม่า ปมที่ดินและชีวิตครอบครัว ท้า ผญบ.ฟินแลนด์ สาบาน ‎อุตสาหกรรมเหล็กไทย เจอทรัมป์รีดภาษีหนักทึ่งทั่วไทย : "อ่าวคุ้งกระเบน" พื้นที่ธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ของจังหวัดจันทบุรีเรื่องราวอันน่ารักของบ้านเล็กๆในตำนานของเมือง ซีแอทเทิ่ล ที่ว่ากันว่ากลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับการ์ตูนเรื่อง UP หรือปู่ซ่าส์บ้าพลังเฉลยแล้ว! ภาพหญิงผมยาวโผล่ริมน้ำ บริเวณจุดค้นหาครูฝึกนักประดาน้ำจมหาย ที่แท้คือสิ่งนี้!
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
"ตอนลำบากไปอยู่ไหนมา?" เซฟ กระทะอ้าง โพสต์ตัดพ้อ หลังโดนเรียกเก็บภาษี5 ความฝัน "ค" พร้อมเลขนำโชค ดังนี้ :อุตสาหกรรมเหล็กไทย เจอทรัมป์รีดภาษีหนักหมึกบลูริง หมึกสีสันสวยสดใส แค่มีพิษอันร้ายแรง ที่สามารถส่งมนุษย์ไปเกิดใหม่ได้ไม่ยากเลยเด้อครับเด้อ"โจรสลัดแม่น้ำอำมหิต" – นักโทษสุดโหดแห่งจีนกับการลงทัณฑ์สุดโหดในปี 1900
กระทู้อื่นๆในบอร์ด ทั่วไป
รีวิว “คู่มือท่องกาแลกซีฉบับนักโบก (The Hitchhiker's Guide to the Galaxy)” นวนิยายวิทยาศาสตร์สุดฮาที่จะทำให้คุณวางไม่ลงSolo Leveling ยังคงทำการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ให้กับมังงะอยู่เรื่อยๆ แต่จะส่งผลเสียต่ออนิเมะหรือเปล่านะ?อนิเมะเรื่องใหม่ทั้งหมดของโปเกมอนจะปูทางที่สมบูรณ์แบบสำหรับการกลับมาของ Ash Ketchum: นี่คือวิธีการไมโครรีไทร์เมนต์ Micro-Retirement เทรนด์ใหม่ จาก Gen Z “ทำงานไปพักไป เพราะชีวิตดี ๆ มีได้ไม่ต้องรอ”
ตั้งกระทู้ใหม่
หน้าแรกเว็บบอร์ดหาเพื่อนChatหาเพื่อน Lineหาเพื่อน SkypePic PostตรวจหวยควิซคำนวณPageแชร์ลิ้ง
Postjung
เงื่อนไขการให้บริการ ติดต่อเว็บไซต์ แจ้งปัญหาการใช้งาน แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม ข่าวประชาสัมพันธ์ ลงโฆษณา
เว็บไซต์นี้ใช้ Cookie
เพื่อประสบการณ์ที่ดีและการใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ดูข้อมูลเพิ่มเติม อ่านนโยบายการใช้งาน
ตกลง