ผู้ชายกับฮอร์โมน ฮอร์โมนเพศชายที่มีน้อยเกินไป และ มีมากเกินไป ส่งผลอย่างไรกับร่างกาย ทำอย่างไรให้มีระดับฮอร์โมนเพศชายเป็นปกติ
ฮอร์โมนเพศชาย หรือ ฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน ถูกสร้างขึ้นบริเวณอัณฑะของเพศชาย ทำหน้าที่ควบคุมระบบการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ช่วยให้ลักษณะภายนอกของผู้ชายดูสมชายมากขึ้น
ฮอร์โมนเพศชายทำงานอย่างไร ?
- คงความแข็งแรงและรักษามวลกล้ามเนื้อ
- รักษาความหนาแน่นของมวลกระดูก
- มีส่วนช่วยในการสร้างเม็ดเลือด การสลายไขมัน และ การสร้างอสุจิ
- ทำให้เกิดขนตามร่างกายและใบหน้า
- ช่วยให้เกิดความต้องการทางเพศ เพิ่มขนาดของอวัยวะเพศและอัณฑะเมื่อเกิดอารมณ์ทางเพศ
ฮอร์โมนเพศชายมีปริมาณเท่าไรถึงเรียกว่าปกติ ?
โดยทั่วไปแล้ว ผู้ชายจะมีระดับฮอร์โมนเพศชายอยู่ที่ 270-1070 นาโนกรัม/เดซิลิตร มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 679 นาโนกรัม/เดซิลิตร หากมีสุขภาพแข็งแรง ระดับฮอร์โมนเพศชายจะอยู่ที่ 400-600 นาโนกรัม/เดซิลิตร โดยผู้ชายจะมีระดับฮอร์โมนนี้สูงที่สุดในช่วงวัยรุ่นไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ตอนต้น จากนั้นจะเริ่มมีปริมาณลดลงเรื่อย ๆ เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น โดยลดลงประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ทุกปีหลังมีอายุ 30 หรือ 40 ปีขึ้นไป และจะเกิดความเปลี่ยนแปลงในร่างกายที่แสดงถึงการมีฮอร์โมนเพศชายลดลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วงวัยกลางคน หรือ เมื่อมีอายุ 60 ปีขึ้นไป
“ภาวะพร่องฮอร์โมนเพศชาย” หรือ Andropause คือ ภาวะต่อมอัณฑะไม่เคยหยุดทำงานเอง การที่ผู้ชายเกิดการเปลี่ยนแปลงเพราะมีบางอย่างผิดปกติ ส่งผลทำให้ฮอร์โมนเพศชายลดต่ำลง หรือ เพิ่มมากขึ้นจนเกินไป
สาเหตุที่ทำให้ ฮอร์โมนเพศชายต่ำ
ปริมาณฮอร์โมนเพศชายที่ลดลงหรือเพิ่มมากขึ้นจนเกินไปจะทำให้เสียสมดุลของฮอร์โมนเพศ นำไปสู่ปัญหาสุขภาพได้ในที่สุด โดยนอกจากอายุที่เป็นปัจจัยสำคัญแล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลให้ระดับฮอร์โมนเพศชายแปรปรวนได้
- การได้รับบาดเจ็บที่อัณฑะ
- การรักษาโรคมะเร็ง ซึ่งอาจมีผลข้างเคียงต่อระบบสืบพันธุ์ด้วย เช่น การทำรังสีบำบัด การทำเคมีบำบัด เป็นต้น
- การเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวานชนิดที่ 2
- โรคตับ
- ไขมันสะสมในร่างกายมากเกินไป
- ปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับไต
- โรคเอดส์
- โรคตับอักเสบ
- การติดสุรา
- ความเครียด
- อายุที่มากขึ้น
- ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด
อาการของระดับ ฮอร์โมนเพศชายต่ำ
ผู้ชายที่มีระดับ ฮอร์โมนเพศชายต่ำ ส่งผลกับด้านร่างกายและจิตใจของผู้ป่วย ทำให้มีอาการดังนี้
- หงุดหงิดง่าย
- ไม่กระฉับกระเฉง
- มวลกระดูกและกล้ามเนื้อลดลง ปวดตามกระดูกหรือข้อต่อ และอาจเกิดโรคกระดูกพรุน
- ร่างกายมีพลังงานน้อยลงรวมทั้งมีความแข็งแรงและความทนทานลดลง
- อ้วนลงผุง น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
- มีปัญหาในการนอนหลับ เช่น นอนไม่หลับ นอนหลับไม่สนิท
- ความต้องการทางเพศลดลง
- อวัยวะเพศแข็งตัวได้ไม่เต็มที่
- ขาดความมั่นใจ มีความกระตือรือร้นน้อยลง อาจรู้สึกเศร้า หดหู่ บางคนถึงขั้นมีอาการซึมเศร้าร่วมด้วย
ในทางกลับกัน การมีปริมาณฮอร์โมนเพศชายสูงกว่าระดับปกตินั้นอาจส่งผลได้ทั้งในทางที่ดีและไม่ดี
ผลดี คือ ช่วยให้ระดับความดันโลหิตเป็นปกติ ทั้งยังลดความเสี่ยงต่อโรคอ้วนและภาวะหัวใจขาดเลือดได้ด้วย
ผลเสีย คือ ปริมาณฮอร์โมนเพศชายที่สูงมากเกินไปอาจส่งผลให้ผู้ชายมีแนวโน้มบริโภคแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่มากขึ้น รวมทั้งอาจทำให้มีอารมณ์ก้าวร้าวมากกว่าปกติ ซึ่งการใช้อารมณ์นั้นอาจทำให้เสี่ยงต่อการได้รับบาดเจ็บ อาจร้ายแรงถึงขั้นมีพฤติกรรมการใช้ความรุนแรงทางเพศหรือก่ออาชญากรรมได้อีกด้วย
ระดับฮอร์โมนเพศชาย ตรวจวัดได้อย่างไร ?
ควรปรึกษาแพทย์ด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย โดยการส่งตรวจเลือด ไม่จำเป็นต้องงดอาหารก่อนเจาะเลือด หลังจากได้ผลเลือดแล้วแพทย์จะทำการวางแผนการรักษาต่อไป
ดูแลตัวเองอย่างไรให้มีระดับฮอร์โมนเพศชายเป็นปกติ
- พักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับไม่เพียงพอจะทำให้ฮอร์โมนเพศชายลดลง ทั้งยังส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานและการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ภาวะอ้วนเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ระดับฮอร์โมนเพศชายลดลง การลดน้ำหนักจึงอาจช่วยให้มีระดับฮอร์โมนนี้สูงขึ้นได้
- รู้จักผ่อนคลายความเครียด ฮอร์โมนคอร์ติซอลที่เกิดจากความเครียดอาจไปขัดขวางการทำงานของฮอร์โมนเพศชาย จึงควรพยายามจัดการกับความเครียดด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น ทำสมาธิ ฝึกการหายใจ ออกกำลังกาย ทำกิจกรรมที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย
- รับประทานอาหารที่มีสังกะสีและแมกนีเซียม เนื่องจากเป็นสารอาหารที่ช่วยรักษาระดับฮอร์โมนเพศชายได้ โดยอาหารที่อุดมไปด้วยสังกะสี ได้แก่ เนื้อสัตว์ หอยนางรม พืชตระกูลถั่ว ธัญพืชต่าง ๆ ส่วนแมกนีเซียมนั้นพบได้มากในผักปวยเล้ง อัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ และ ถั่วลิสง
- เพิ่มไขมันดีในอาหาร ฮอร์โมนเพศชายนั้นสร้างขึ้นจากคอเลสเตอรอลในร่างกาย ผู้ชายจึงควรกินอาหารที่มีไขมันดีมากขึ้น เช่น ปลาทะเลน้ำลึก อะโวคาโด แม้จะเป็นไขมันชนิดที่ดี แต่ผู้บริโภคก็ควรกินในปริมาณพอดี
- กินปลามากขึ้น โดยเฉพาะปลาทะเลอย่างแซลมอน ทูน่า แมคเคอเรล เพราะไม่เพียงมีไขมันดีในปริมาณที่เหมาะสมแล้ว แต่ยังอุดมไปด้วยวิตามินดี ซึ่งจะช่วยส่งเสริมกระบวนการผลิตฮอร์โมนให้ทำงานได้ดีขึ้น
- ลดการบริโภคน้ำตาล อาหารที่มีน้ำตาลทำให้ฮอร์โมนเพศชายลดลงได้ถึง 25 เปอร์เซ็นต์ จึงควรลดการบริโภคน้ำตาลเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงด้านนี้
- หลีกเลี่ยงสารเคมีบีพีเอ (BPA) การทำงานที่ต้องสัมผัสกับสารเคมีบีพีเอติดต่อกันเป็นเวลานาน ซึ่งสารนี้พบได้ในบรรจุภัณฑ์ใส่อาหารแบบพลาสติก อาจมีผลให้ระดับฮอร์โมนเพศชายลดลงมากกว่าคนทั่วไปได้
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนเพศชายได้ โดยเฉพาะการออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง ทั้งยังช่วยให้สุขภาพแข็งแรง และ ลดความเครียดได้
- ดื่มแอลกอฮอล์แต่พอดี การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากเกินไปส่งผลให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายเพิ่มขึ้นและทำให้อัณฑะหดตัวลง ซึ่งกระทบต่อการผลิตฮอร์โมนเพศชาย จึงควรดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณพอเหมาะเท่านั้น คือ ไม่เกินวันละ 2 ดื่มมาตรฐาน















