“ชายรักชาย” และ “ผู้ที่ชอบมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก” ควรใส่ใจ “โรคไวรัสตับอักเสบ”
โรคไวรัสตับอักเสบ (Hepatitis) เป็นภาวะที่เกิดการอักเสบของตับ จากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซึ่งมีหลายสายพันธุ์ ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบเอ บี ซี ดี อี โดยไวรัสทั้งหมดมีการติดต่อแตกต่างกันไปตามชนิดและลักษณะเฉพาะ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบนอกจากจะส่งผลให้ตับเสียหาย ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติแล้ว หากปล่อยไว้จนตับอักเสบเรื้อรัง อาจทำให้เกิดโรคตับแข็ง เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับได้ในอนาคต
ชายรักชาย และ ผู้ที่ชอบมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก กับ โรคไวรัสตับอักเสบ
สมาคมโรคติดเชื้อของสหรัฐอเมริการายงานว่า ผู้ติดเชื้อรายใหม่ของไวรัสตับอักเสบเอ 10% และ ไวรัสตับอักเสบบี 20% เป็นกลุ่มชายรักชาย (Gay) หรือ ชายที่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้กับผู้ชายและผู้หญิง (Bisexual) ทำให้องค์การอนามัยโลกและศูนย์ควบคุมโรคติดเชื้อนานาประเทศ เริ่มรณรงค์วิธีการป้องกันโรคในกลุ่มนี้กันมากขึ้น
ไวรัสตับอักเสบ เอ Hepatitis A หรือ HAV เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบของตับจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดเอ HAV ผ่านการกินอาหาร และ น้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อ การสัมผัสสิ่งสกปรก อุจจาระที่ปนเปื้อเชื้อ และ เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก หรือ กิจกรรมทางเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก
ลักษณะทางอาการของโรคที่เกิดจากการอักเสบของตับจากเชื้อ ไวรัสตับอักเสบชนิดเอ HAV
1.ปวดศีรษะ
2.มีไข้ตัวร้อน
3.รู้สึกเหนื่อยล้าไม่สบายตัว
4.ไม่อยากอาหาร
5.มีผดผื่นคัน คันตามผิวหนัง
6.ปวดท้อง ท้องร่วง ท้องผูก ปวดตามกล้ามเนื้อ และข้อต่อ
7.ปัสสาวะสีเข้ม อาจมีภาวะดีซ่านร่วมด้วย
วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ
สำหรับผู้ที่เคยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอแล้วจะไม่เป็นซ้ำอีก การฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ เป็นการป้องกันโรค ที่ได้ผลเกือบ 100% ภูมิคุ้มกันที่ได้จากวัคซีนจะอยู่ติดตัวไปได้ตลอด สามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 1 ปีขึ้นไป โดยฉีดวัคซีน 2 ครั้ง ห่างกัน 6 เดือน สำหรับผู้ใหญ่ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันโรคไวรัสตับอักเสบเอ สามารถรับการฉีดวัคซีน 2 ครั้ง ห่างกัน 6-12 เดือน โดยสามารถขอคำแนะนำหรือปรึกษาแพทย์
ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B Virus) มีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี (Hepatitis B virus; HBV) เป็นเชื้อไวรัสที่อันตรายอย่างยิ่งสามารถติดต่อได้จากสารคัดหลั่ง เช่น อสุจิ เลือด หากได้รับเชื้อแล้วไม่ได้รับรักษา อาจนำไปสู่การอักเสบเรื้อรัง ตับวาย ตับแข็ง มะเร็งตับ โดยสามารถติดต่อผ่านทางการคลอด การสัมผัสเลือดหรือแผลเปิดของผู้ติดเชื้อ การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ การใช้อุปกรณ์ที่แหลมคมหรือของใช้ส่วนตัวร่วมกัน เช่น เข็มฉีดยา มีดโกนหนวด หรือ แปรงสีฟัน
วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี
อาจเรียกได้ว่าเป็นวัคซีนป้องกันมะเร็งชนิดแรก เนื่องจากช่วยป้องกันมะเร็งตับ อันเกิดเนื่องจากภาวะไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งตับถึง 80% โดยวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ประกอบด้วยโปรตีนจากผิวของไวรัส (HBsAg) ซึ่งไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี แต่จะไปกระตุ้นให้เกิดภูมิต้านทานขึ้นในร่างกาย สามารถฉีดป้องกันได้ตั้งแต่ทารกแรกเกิด โดยฉีดเหมือนกับผู้ใหญ่ ทั้งหมด 3 เข็ม หลังจากฉีดเข็มแรกแล้ว 1 เดือนจึงฉีดเข็มที่ 2 และฉีดเข็มที่ 3 หลังจากฉีดเข็มที่ 2 แล้ว 5 เดือน
เมื่อฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ครบ 3 เข็ม ส่วนใหญ่พบว่าร่างกายสร้างภูมิคุมกันได้มากถึง 97% สามารถป้องกันการติดเชื้อได้นานตลอดชีวิต อย่างไรก็ตาม หลังจากได้รับวัคซีนครบ 3 เข็ม ประมาณ 1-2 เดือน ควรเข้ารับการตรวจเลือดเพื่อยืนยันว่ามีภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบบีหรือไม่ หากยังไม่มีภูมิต้านทาน ควรฉีดวัคซีนเพิ่มตามคำแนะนำของแพทย์
ผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีน
มักจะมีรอยบวมแดงและความเจ็บปวดบริเวณที่ฉีดวัคซีน แต่จะเป็นไม่นาน สำหรับอาการข้างเคียงอื่น ๆ อาจจะมีไข้อ่อน ๆ รู้สึกไม่สบายตัว อ่อนล้า ปวดหัว ไม่อยากอาหาร
เนื่องจากไวรัสตับอักเสบแต่ละชนิดเกิดจากเชื้อไวรัสแตกต่างกัน การฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบแต่ละสายพันธุ์จะสามารถป้องกันเฉพาะไวรัสสายพันธุ์ที่ฉีดเท่านั้น ดังนั้นหากจำเป็นต้องฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบชนิดใด ควรเจาะจงชนิดของวัคซีนให้ถูกต้อง ซึ่งปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ และ วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีรวมในเข็มเดียวกัน โดยสามารถสอบถามรายละเอียดจากแพทย์หรือโรงพยาบาลที่ต้องการเข้ารับการฉีดวัคซีน
















