ตำนานพระแม่กาลีเหยียบอกพระศิวะ
ท่ามกลางเสียงคำรามสะท้านฟ้าก้องกังวานไปทั่วสามโลก มาธุอสูร อสูรผู้ได้รับพรอมตะจากพระศิวะเอง ยืนหยัดท้าทายพระแม่กาลี ดวงตาสีเลือดของมันเปล่งประกายด้วยความเยาะเย้ย เลือดสีดำสนิทไหลรินจากบาดแผลที่พระแม่กาลีสร้างขึ้น แต่แทนที่จะหยุดไหล มันกลับเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ หยดเลือดแต่ละหยดกลายเป็นอสูรตัวน้อยๆ เพิ่มกองทัพความชั่วร้ายอย่างไม่สิ้นสุด
พระแม่กาลีทรงเหนื่อยล้า ทรงรู้ว่าการต่อสู้แบบนี้ไม่มีวันจบสิ้น ทรงหันไปมองพระศิวะผู้ทรงเฝ้าดูอยู่บนยอดเขาไกลโพ้น ดวงตาของพระองค์เต็มไปด้วยความกังวล พระองค์ทรงรู้ดีว่าพรที่ประทานให้มาธุอสูรนั้น เป็นพรที่ทรงต้องเสียใจในที่สุด
ด้วยเสียงที่แผ่วเบาแต่ทรงพลัง พระศิวะตรัสกับพระแม่กาลีว่า
“ที่รัก จงดื่มเลือดของมันให้หมด อย่าให้มันตกถึงพื้น นั่นคือทางเดียวที่จะหยุดมันได้”
พระแม่กาลีลังเลอยู่ชั่วครู่เพราะไม่เคยทำเช่นนั้นมาก่อน แต่ก็รู้ว่านี่คือทางเดียวที่จะปกป้องโลกเอาไว้ได้ จึงปิดตาลง แล้วดื่มเลือดสีดำสนิทของมาธุอสูรจนหมด ความมืดมนและความชั่วร้ายไหลผ่านพระวรกาย แต่ต้องอดทนทำเพื่อโลกเพื่อสรรพชีวิต
เมื่อเลือดของมาธุอสูรหมดลง อสูรผู้ทรงพลังก็ล้มลง ความเงียบสงบปกคลุม แต่ด้วยความเหนื่อยล้า ความปีติยินดีจึงได้เข้าครอบงำพระแม่กาลี ทรงกระโดดโลดเต้น หัวเราะอย่างมีความสุข พลังอันมหาศาลของพระนางแผ่ขยาย ทำให้พื้นพิภพสั่นสะเทือน ภูเขาสูงตระหง่านสั่นคลอน แม่น้ำไหลเชี่ยวกราก สรรพชีวิตต่างหวาดกลัว
พระศิวะมองดูเหตุการณ์ด้วยความเป็นห่วง และรับรู้ว่าพลังของพระนางกำลังจะทำลายทุกสิ่ง แต่ไม่กล้าห้ามปราม ทำได้เพียงแต่ยอมรับชะตากรรม จึงนอนลงใช้พระวรกายรับแรงสั่นสะเทือนจากการเต้นรำของพระแม่กาลี
พระแม่กาลีเต้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งรู้สึกถึงอะไรที่นุ่มนวล อ่อนโยน ใต้พระบาทของพระนาง จึงหยุดเต้นและค่อยๆ ลืมตาขึ้น แล้วก็เห็นพระศิวะ พระสวามีอันเป็นที่รัก นอนอยู่ใต้พระบาทของพระนาง พระนางรู้สึกผิดอย่างที่สุด น้ำตาไหลอาบแก้ม จึงรีบกลายร่างกลับเป็นพระแม่อุมาเทวี ผู้เปี่ยมด้วยความเมตตาและความอ่อนโยน
ภาพของพระแม่กาลีเหยียบอกพระศิวะ จึงกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก ความเสียสละ และความสำนึกผิด มันเป็นเรื่องราวที่เตือนใจให้เราระมัดระวังพลังอำนาจของตนเอง และตระหนักถึงความสำคัญของการควบคุมอารมณ์ มิเช่นนั้นแล้ว แม้แต่ความดีงามก็อาจนำมาซึ่งความหายนะได้
















