ถ้าเกิดเรื่องเลวร้ายแล้วรู้สึกเบลอๆ ให้โทษที่ไม่รู้จักเจริญสติ
ถ้าเกิดเรื่องเลวร้าย
แล้วคุณรู้สึกเบลอๆ
ยิ่งเคลื่อนไหว ยิ่งพูดจา
ยิ่งเหมือนแกล้งตอกย้ำซ้ำเติมตัวเอง
ให้อะไรๆแย่ลงไปอีก
ก็อย่าไปโทษผีซ้ำด้ำพลอยที่ไหน
ให้โทษกรรมของตัวเอง
ที่ไม่รู้จักเจริญสติ
ปล่อยให้ขาดสติ
ปล่อยให้ความเลอะเลือนเข้าสิงสู่
ด้วยอาการหน้ามืด
ด้วยอาการโกรธจัด
หรือด้วยอาการเศร้าโศกเสียดายใหญ่หลวง
ภาวะในสมองหลายๆอย่างจะต่างไป
โดยเฉพาะความสามารถในการควบคุมอารมณ์
ความสามารถในการพูดจา
ความสามารถการสั่งการมือไม้
ความเห็นอกเห็นใจสิ่งมีชีวิต
ตลอดจนความจำเกี่ยวกับตนเอง
จึงไม่แปลก
หากคุณจะรู้สึกเหมือนไม่ใช่ตัวเอง เหมือนผีสิง
ที่เดินหน้าทำอะไรโง่ๆ บ้าๆต่อทั้งที่ควรถอย
ตัวอย่างง่ายๆที่เห็นได้ทุกวัน
ก็เช่นคนมีเรื่องกัน ทั้งที่เห็นอยู่ชัดๆว่า
ยิ่งพูดรังแต่จะยิ่งเสียหาย
ก็อุตส่าห์พูดต่อไม่หยุด
เหมือนมีอะไรมาอุดหัวอุดหู
บีบให้คิดอย่างเดียวว่าเป็นไงเป็นกัน
หรือเช่นคนใกล้หมดตัวในบ่อนพนัน
แทนที่จะทำสิ่งที่ควรทำ คือออกมาจากบ่อนเสีย
ก็กลับเทหมดกระเป๋า
หรือเอาตัวไปเป็นหนี้เป็นสินต่อ
ราวกับอะไรเข้าคุมตัวก็ไม่ทราบ
ทางการเจริญสติ
เรียกภาวะเลอะเลือนของสติว่า ‘โมหะ’
ความรู้สึกจะเหมือนถูกครอบคลุมด้วยม่านหมอก
ยิ่งหนาแน่นเท่าไร ยิ่งหูตามืดมัวเท่านั้น
ยิ่งความคิดอับตันเท่าไร ยิ่งเหมือนถูกผีลากเท่านั้น
พระพุทธเจ้าให้สังเกตว่า
ลมหายใจกำลังยาวหรือสั้นอยู่เรื่อยๆ
คุณจะรู้สึกว่าโมหะเบาบางเมื่อลมหายใจยาว ละเอียด
รู้สึกว่าโมหะหนาขึ้นเมื่อลมหายใจสั้น หยาบ
และในที่สุดจะรู้ตัวว่าโมหะทึบหนักที่สุด
ก็เมื่อลมหายใจไม่ปรากฏต่อการรับรู้เลย
แม้ยังต้องหายใจเข้าออกอยู่นั่นเอง
ผู้มีสติรู้ลมหายใจเข้าออก ยาวสั้นอยู่เรื่อยๆ
จะเหมือนมีทุน มีเครื่องเกาะ
หากวันไหนจิตตกถึงขีดสุด
ก็จะรู้สึกถึงลมหายใจขึ้นมาได้เอง
แทนที่จิตจะปล่อยตัวเองให้จมมิดอยู่ในม่านหมอกโมหะ
นี่เอง พระพุทธเจ้าจึงสรรเสริญผู้ฝึกเจริญสติ
โดยอาศัยลมหายใจเป็นเครื่องสังเกตเนื้อตัว
สังเกตอิริยาบถเคลื่อนไหว
ตลอดจนสังเกตอารมณ์สุขทุกข์ทั้งมวล













