รีวิวหนังสือ ถ้าสอนงานแบบนี้ ฉันก็เก่งไปนานแล้ว
เรื่องของการสอนงาน มันเป็นเฉพาะตัวของบุคคลที่แต่ละคนจะมีวิธีการสอนไม่เหมือนกัน นั่นทำให้บางคนทำงานไม่นานแต่ก้าวหน้าไปไกล แต่อีกคนทำงานมาตั้งนานแต่ก็ย่ำอยู่กับที่ และการเรียนรู้ลองผิดลองถูกด้วยตัวเองก็เป็นการใช้เวลาที่มากเกินไป
โออิชิ เท็ตสึยูกิ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้จะมานำเสนอ 30 ทักษะที่จำเป็นต่อการทำงานเพื่อเอาตัวรอดและเอื้อให้เราได้รับการประเมินผลงานที่ดีขึ้น แปลโดย ทินภาส พาหะนิชย์
ความรู้ความประทับใจที่ได้ในมุมมองของครีเอเตอร์
- ได้เรียนรู้ว่าเมื่อเราพูด จากข้อสรุป คนอื่นจะเข้าใจเรื่องราวง่ายและชัดเจนขึ้น และยังสามารถสื่อสารเรื่องสำคัญให้อีกฝ่ายได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย
วิธีพูดจากข้อสรุปเรียกอีกอย่างว่า “PREP
- Point = ข้อสรุป
- Reason = ให้เหตุผล
- Example= ยกตัวอย่าง
- Point = ขมวดด้วยข้อสรุปอีกครั้ง
- ได้เรียนรู้ว่าเวลาประชุม ต้องคิดวาระการประชุมออกมาเลยว่าเราจะหาข้อสรุปอะไร ตัดสินใจเรื่องอะไร แล้วค่อยเริ่มประชุมจากข้อสรุปที่คุณอยากได้ เช่น อยากได้ข้อสรุปแบบไหน ต้องทำอย่างไรเพื่อให้ได้ข้อสรุปนั้นจะตัดสินใจเรื่องนั้นอย่างไร
- ได้เรียนรู้ว่าถ้าคุณสงสัยว่าสิ่งที่หัวหน้า หรือผู้ใหญ่ พูดมันทะแม่งๆให้บอกไปตามตรง ถ้าปล่อยเลยตามเลย ต้องไม่เข้าท่าแน่นอน ถ้าคุณไม่พูดเพราะคิดว่าพูดลำบาก คุณอาจโดนตำหนิที่หลังว่า“รู้แล้วทำไมไม่บอก"
- ได้เรียนรู้ว่าการรู้แต่ไม่บอก อาจใช้เพื่อรักษาน้ำใจก็จริง แต่สำหรับการทำงาน ส่วนใหญ่แล้วเราจะถือว่าไม่จริงใจ ไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้า หัวหน้า หรือลูกค้า ถ้าเป็นเรื่องสำคัญต่อให้พูดยากแค่ไหน ต้องพูดออกไปตรงๆ
- ได้เรียนรู้ว่าถ้าเป็นมือใหม่ ควรเรียนรู้การพูดโดยใช้เหตุผลเป็นหลักไว้เก๋าพอแล้วค่อยพูดด้วยความรู้สึกหรือประสบการณ์ที่ยังไม่สาย แม้ที่ปรึกษาทางธุรกิจจะเด่นด้านเหตุผล แต่พอมีประสบการณ์มากขึ้น ก็มักใช้ความรู้สึกในการสื่อสารเช่นกัน เพราะเรื่องที่ฟังแล้วมีน้ำหนัก และจูงใจคนได้จริงๆ ต้องมีทั้งเหตุผลและความรู้สึกผสมกัน
- ได้เรียนรู้ว่าคนที่ทำธุรกิจในระดับแนวหน้า พวกเขามีความเป็นเหตุเป็นผลมากกว่าที่หลายคนคิด ถ้ามีใครพยายามจะเสนอเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล หรือ พยายามโน้มน้าวเรื่องที่ยังไม่ชัดเจน ด้วยความรู้สึก พวกเขาจะดูออกทันที แล้วจะไม่ไว้ใจคนที่ทำเช่นนั้นด้วย
- ได้เรียนรู้ว่าถ้าคุณพูดเรื่องไม่สมเหตุสมผล อีกฝ่ายจะไม่รับฟัง“ถ้าคุณไม่ใส่ใจเหตุผล” แล้วรุกอีกฝ่ายด้วยความตั้งใจและความรู้สึก ยิ่งอีกฝ่ายเก่ามากเท่าไหร่ คุณยิ่งไม่ประสบความสำเร็จมากเท่านั้น
- ได้เรียนรู้ว่าคนที่คอยทำหน้าที่บริหารจะจับประเด็น และลงความเห็นอย่างเป็นเหตุเป็นผล เพราะผู้บริหารคือคนที่แบกความรับผิดชอบมากกว่าใคร ดังนั้น ถ้าต้องถกเถียงกันอย่างดุเดือดและสมเหตุสมผลจนนำไปสู่ผลสำเร็จได้ เขาก็พร้อมที่จะรับฟัง
- ได้เรียนรู้ว่าจงหมั่นสังเกตุท่าทีของอีกฝ่าย ถ้าคุณกำลังพูดเอกสารหน้าต่อไปแล้ว แต่อีกฝ่ายยังดูเอกสารหน้าเดิมอยู่นั่นแปลว่าเขามีบางอย่างที่ยังไม่เข้าใจอยู่ ถ้าเขาพลิกเอกสารอ่านอย่างรวดเร็ว อาจเป็นเพราะเรื่องที่คุณพูดนั้นน่าเบื่อ อยากให้พูดประเด็นสำคัญเร็วๆ ถ้าเขาพลิกเอกสารไปหลายหน้าเป็นสัญญาณบอกว่า เขาไม่เข้าใจ” เช่นกัน
- ได้เรียนรู้ว่าถ้าคุณถามอะไรแล้วเขาตอบว่า “พอเข้าใจ” หรือ“เข้าใจประมาณหนึ่ง” นั่นหมายความว่าเขาไม่เข้าใจเลยถ้าคุณหมั่นสังเกตสัญญาณเตือนของอีกฝ่ายไปเรื่อยๆแล้วปรับเปลี่ยนการอธิบายไปตามสถานการณ์ เช่น ลด หรือเร่งความเร็วในการอธิบาย หรืออธิบายซ้ำ จุดที่เข้าใจยาก คุณจะนำเสนอแบบมืออาชีพด้วย
- ได้เรียนรู้ว่าต่อให้ผู้พูดคิดว่า พูดเรื่องที่อยากสื่อสารไปแล้วแต่ถ้าอีกฝ่ายไม่เข้าใจ และไม่ยอมรับ ก็ถือเป็นการสื่อสารที่ล้มเหลว เราจะสื่อสารสำเร็จก็ต่อเมื่ออีกฝ่ายเข้าใจจริงๆ และเริ่มยอมรับ
- ได้เรียนรู้ว่าก่อนลงมือทำงาน คุณต้องรอให้อีกฝ่ายเห็นด้วยว่าวิธีทำงานแบบนั้นใช้ได้ผล แล้วค่อยลงมือทำงาน กรณีของการก่อสร้าง ถ้าคุณเปลี่ยน แบบแปลนหลังเริ่มงานไปแล้วอาจทำได้ยาก เพราะโดยหลักการแล้วเราจะย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้
- ได้เรียนรู้ว่าเราจะพัฒนาฝีมือได้ยาก ถ้าไม่มีคำติชม วิธีฝึกกันเอง จะมีปัญหาใหญ่ คือ คนทำจะมองไม่เห็นความผิดพลาดของตัวเอง สุดท้ายถ้าไม่มีคนเก่งๆมาช่วยชี้ประเด็นและบอกข้อผิดพลาดให้ คนฝึกที่จะไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดและผิดอย่างไร
- ได้เรียนรู้ว่าคนที่ส่งรายงานแค่ข้อเท็จจริงก็ไม่ต่างจากแพทย์ที่คุณไปพบเพื่อตรวจเลือด แต่แพทย์กลับเอาตัวเลขและข้อมูลอะไรไม่รู้ให้คุณดู โดยไม่อธิบาย เพราะสิ่งที่คุณอยากได้จากแพทย์ คือ การตีความว่าคุณป่วยเป็นอะไร ? แข็งแรงดีหรือเปล่า ? ควรระวังอะไรบ้าง ?จากนั้นจึงให้แพทย์ช่วยจ่ายยา ตามความจำเป็น
- ได้เรียนรู้ว่าความผิดพลาด อีกอย่างที่มักเจอบ่อยๆ คือ บอกแค่ว่าจะทำอะไร เปรียบเหมือนบอกแค่ “นกร่มไปด้วยดีกว่า” แต่ไม่ยอมบอกว่า“ทำไม” ถึงต้องทำแบบนั้น ดังนั้น คุณจะบอกแค่สิ่งที่จะทำไม่ได้ ต้องบอกข้อเท็จจริงที่เป็นต้นเหตุ กับการตีความให้ครบ เช่น ค่าน้ำตาลในเลือดสูง (ข้อเท็จจริง) เสี่ยงจะเป็นเบาหวาน ( การตีความ ) ควรกินยาตัวนี้ (การกระทำ )
- ได้เรียนรู้ว่าการกระทำนั้นมีหลายตัวเลือก เช่น ถ้าฝนน่าจะตก เราอาจเลือก นกร่ม นกเสื้อกันฝน เลื่อนนัด หรือเลือกไม่ออกไปข้างนอกก็ได้ ดังนั้น เวลาเสนอความคิดอะไร จงบอกให้ครบทั้งหมดว่า จากตัวเลือกการกระทำตั้งมากมาย ทำไมถึงเลือกทำแบบนี้
- ได้เรียนรู้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำ Power Point " คือ บอกสิ่งที่อยากจะบอกให้ชัดเจน ทำให้เรียบง่าย และดูง่ายที่สุดโดยใช้หลัก “หนึ่ง สไลด์ หนึ่งข้อความ” สไลด์ จะเรียบง่ายสลับสับเปลี่ยน หรือนำมาใช้ซ้ำก็สะดวก งานที่จะมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
- ได้เรียนรู้ว่าหลายคนอยากส่งต่อข้อมูลที่มี จึงพยายามใส่รูปภาพ หรือกราฟสามสี่อัน ลงไปในสไลด์แผ่นเดียว เน้นข้อความ ด้วยตัวหนาและใส่ความคิดเห็นในกรอบคำพูดสไลด์แบบนี้ ดูแล้วจะไม่เข้าใจว่าอยากจะบอกอะไร เพราะใส่สิ่งที่อยากจะบอกเยอะเกินไป คนดูสไลด์ก็ไม่รู้จะตีความอย่างไร ประเด็นสำคัญอยู่ตรงไหน แม้แต่คนทำสไลด์เองก็คงไม่รู้เหมือนกัน เพราะยังไม่ได้เรียบเรียงความคิดในหัว
- ได้เรียนรู้ว่าหลักหนึ่งสไลด์ หนึ่งข้อความ คือ การมีกราฟอันเดียว แล้วคุณแสดงการตีความกราฟนั้นแค่อย่างเดียว หลักการนี้จะใช้กับกราฟ ตาราง หรือรูปภาพที่ได้ แต่คุณต้องพยายามสรุปออกมาเป็น 1 ข้อเท็จจริง + 1 การตีความ ลงในสไลด์แผ่นเดียว ถ้าอยากบอกหลายเรื่องให้แบ่งสไลด์ เป็น 2 หรือ 3 แผ่นก็ได้ ถึงจำนวนแผ่นโดยรวมจะเพิ่มขึ้น แต่วิธีนี้จะทำให้เข้าใจได้ง่ายกว่า
- ได้เรียนรู้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำ Power Point คือ บอกสิ่งที่อยากจะบอกให้ชัดเจน ทำให้เรียบง่าย และดูง่ายที่สุด โดยใช้หลัก “หนึ่ง สไลด์ หนึ่งข้อความ” สไลด์ จะเรียบง่ายสลับสับเปลี่ยน หรือนำมาใช้ซ้ำ ก็สะดวก งานที่จะมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
- ได้เรียนรู้ว่าหลายคนอยากส่งต่อข้อมูลที่มี จึงพยายามใส่รูปภาพ หรือกราฟสามสี่อัน ลงไปในสไลด์แผ่นเดียว เน้นข้อความ ด้วยตัวหนาและใส่ความคิดเห็นในกรอบคำพูดสไลด์แบบนี้ ดูแล้วจะไม่เข้าใจว่าอยากจะบอกอะไร เพราะใส่สิ่งที่อยากจะบอกเยอะเกินไป คนดูสไลด์ก็ไม่รู้จะตีความอย่างไร ประเด็นสำคัญอยู่ตรงไหน แม้แต่คนทำสไลด์เองก็คงไม่รู้เหมือนกัน เพราะยังไม่ได้เรียบเรียงความคิดในหัว
- ได้เรียนรู้ว่าหลักหนึ่งสไลด์ หนึ่งข้อความ คือ การมีกราฟอันเดียว แล้วคุณแสดงการตีความกราฟนั้นแค่อย่างเดียว หลักการนี้จะใช้กับกราฟ ตาราง หรือรูปภาพที่ได้ แต่เราต้องพยายามสรุปออกมาเป็น 1 ข้อเท็จจริง + 1 การตีความ ลงในสไลด์แผ่นเดียว ถ้าอยากบอกหลายเรื่องให้แบ่งสไลด์ เป็น 2 หรือ 3 แผ่นก็ได้ ถึงจำนวนแผ่นโดยรวมจะเพิ่มขึ้น แต่วิธีนี้จะทำให้เข้าใจได้ง่ายกว่า
- ได้เรียนรู้ว่าต่อให้เราไม่ได้มีทักษะเก่งกาจก็สามารถทำประโยชน์ให้ลูกค้าได้ ขอแค่พยายามและตั้งใจคิดถึงผลประโยชน์ของผู้อื่นเสมอ งานของเราก็จะมีค่า
ครีเอเตอร์มองว่าจุดอ่อนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้ก็คือข้อแนะนำบางอย่างอาจจะไม่จำเป็นสำหรับคนทำงานบางสายงาน แต่ก็ถือว่าครอบคลุมในมิติของมนุษย์เงินเดือนระดับหนึ่ง เราอาจจะได้มีโอกาสใช้ทักษะดังกล่าวในภายภาคหน้าได้เหมือนกัน
สำหรับครีเอเตอร์แล้ว...แน่นอนว่าถ้าหากเราได้รู้ว่ามันต้องเป็นไปในทิศทางแบบนี้ เราก็จะเข้าใจการทำงานได้ดีขึ้น เรียนรู้งานได้ไวขึ้น เอื้อให้เป็นคนที่เฉิดฉายในสังคมที่ทำงานได้ง่ายขึ้น ผลลัพธ์นี้อาจไม่ได้เกิดกับทุกคน แต่ก็ถือว่าเป็นแนวโน้มความสำเร็จของการทำงานที่อาจเกิดขึ้นกับเราได้














