กระจ่าง!! อ้วนครั้งเดียว ถูกจารึกถึง DNA ต้นเหตุลดน้ำหนักแล้วกลับมาอ้วนอีก
หลายคนคงสงสัยหนักว่า ทำไมลดน้ำหนักแทบตุย ทำไมยังอ้วยเอา อ้วนเอา ท้อใจมากกกกกกกกก และหลายคนคงยังไม่รู้ ว่ามันมีแนวคิดเซลล์ไขมันมี ความทรงจำ ของโรคอ้วน เป็นแนวคิดใหม่ที่ช่วยอธิบายว่าทำไมการรักษาน้ำหนักที่ลดลงให้คงที่จึงเป็นเรื่องที่ยาก
เรื่องราวนี้เผยในปี 2524 ใน วารสาร Nature กับบทความ “Adipose tissue retains an epigenetic memory of obesity after weight loss” หรือ “เนื้อเยื่อไขมันเก็บความจำเหนือพันธุศาสตร์ของความอ้วนเอาไว้หลังจากลดน้ำหนัก”
มันด้านกลไกว่าทำไมการลดน้ำหนักให้ได้อย่างมั่นคงยั่งยืนนั้นถึงทำได้ยากนัก ที่แท้เป็นเพราะความทรงจำเหนือพันธุกรรมที่เซลล์ไขมันแอบเก็บเอาไว้
โดยงานวิจัยพบว่าเซลล์ไขมัน (adipocytes) มีการเปลี่ยนแปลงใน อีพิจีโนม (epigenome) หรือการปรับแต่งทางเคมีบน DNA ซึ่งมีผลต่อการแสดงออกของยีนในช่วงที่ร่างกายมีภาวะอ้วน การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ยังคงอยู่แม้จะลดน้ำหนักแล้ว ส่งผลต่อการทำงานและพฤติกรรมของเซลล์ไขมัน ทำให้มีแนวโน้มที่จะกลับมาอ้วนได้ง่ายขึ้น
งานวิจัยนั้นระบุการศึกษาเซลล์ไขมันในร่างกายมนุษย์ใน เนื้อเยื่อไขมัน จากผู้เข้าร่วมการทดลอง 2 กลุ่ม
-กลุ่มแรกคือผู้ที่ไม่เคยเป็นโรคอ้วนเลย
-ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งคือผู้ที่เคยเป็นภาวะอ้วนอย่างรุนแรง
จากนั้นเปรียบเทียบเซลล์ไขมันระหว่างสองกลุ่มนี้ พวกเขาก็พบความแตกต่างในกิจกรรมของยีน มียีนบางตัวในเซลล์ไขมันของผู้เข้าร่วมที่เคยเป็นโรคอ้วนมีระดับการทำงานที่มากกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่เคยเป็นโรคอ้วน
ซึ่งปัญหาก็คือยีนเหล่านี้ยังทำงานในระดับคงที่แม้ว่าผู้ที่เป็นโรคอ้วนจะมีน้ำหนักลดลงมานานแล้วก็ตาม ยีนในเซลล์ไขมันของพวกเขายังคงมีพฤติกรรมเหมือนกับว่าเขายังคงเป็นโรคอ้วนอยู่
การรักษาน้ำหนักตัวให้คงเดิมหลังจากลดน้ำหนักได้ในช่วงแรกนั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบาก” (Ferdinand von Meyenn) ผู้เขียนอาวุโสจาก
เพราะเซลล์ไขมันจะจำสถานะอ้วนก่อนหน้านี้ได้และมีแนวโน้มที่จะกลับมาเป็นสถานะนี้อีกครั้ง ดูเหมือนว่าความทรงจำจะเตรียมเซลล์ให้ตอบสนองต่อน้ำตาลหรือกรดไขมันได้เร็วขึ้น และอาจจะในทางที่ไม่ดีต่อสุขภาพด้วย
ประเด็นสำคัญจากงานวิจัย:
1. การเปลี่ยนแปลงอีพิจีเนติกในเซลล์ไขมัน
• ภาวะอ้วนเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอีพิจีโนมของเซลล์ไขมัน โดยปรับเปลี่ยนการแสดงออกของยีนโดยไม่เปลี่ยนแปลงลำดับ DNA เดิม
• การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้รวมถึงกระบวนการเมทิลเลชันของ DNA (DNA methylation) และการปรับแต่งฮิสโตน (histone modifications) ซึ่งยังคงอยู่แม้หลังจากลดน้ำหนักแล้ว
2. การทำงานของเซลล์ไขมันที่แย่ลง
• ความทรงจำของภาวะอ้วนในเซลล์ไขมันอาจนำไปสู่การลดประสิทธิภาพการทำงาน เช่น:
• ความสามารถในการเก็บและปล่อยพลังงานลดลง
• เพิ่มการอักเสบและการตอบสนองต่อความเครียดในเนื้อเยื่อไขมัน
• ความผิดปกติเหล่านี้มีส่วนทำให้เกิดโรคเมตาบอลิก (metabolic disorders) และทำให้ร่างกายปรับตัวเข้ากับน้ำหนักที่ลดลงได้ยาก
3. กลไกที่ทำให้กลับมาอ้วน
• “ความทรงจำ” ของโรคอ้วนทำให้เซลล์ไขมันมีแนวโน้มที่จะสะสมไขมันอีกครั้งเมื่อปริมาณแคลอรีเพิ่มขึ้นหลังจากการลดน้ำหนัก
• สิ่งนี้อธิบายปรากฏการณ์ที่เรียกว่า โยโย่เอฟเฟกต์ (weight cycling) ซึ่งผู้ที่ลดน้ำหนักมักกลับมาอ้วนใหม่ในเวลาต่อมา
ผลกระทบต่อแนวทางการรักษา:
1. การบำบัดอีพิจีเนติก:
• การรักษาที่มุ่งเป้าไปที่การเปลี่ยนแปลงอีพิจีโนมในเซลล์ไขมันอาจช่วยพัฒนาวิธีการรักษาที่ทำให้น้ำหนักที่ลดลงคงที่ได้ยาวนานขึ้น
• ยาที่สามารถปรับแต่งอีพิจีโนมอาจช่วยรีเซ็ตเซลล์ไขมันให้กลับมาทำงานได้ตามปกติ
2. การดูแลรักษาน้ำหนักแบบองค์รวม:
• การเข้าใจว่าเซลล์ไขมันมีความทรงจำของภาวะอ้วนเน้นให้เห็นถึงความสำคัญของการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในระยะยาว เช่น การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและการกินอาหารที่สมดุล เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของการกลับมาอ้วน
• การสนับสนุนด้านพฤติกรรมและจิตวิทยายังเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยจัดการน้ำหนักในระยะยาว
3. การแพทย์เฉพาะบุคคล:
• การตรวจวิเคราะห์อีพิจีโนมในเซลล์ไขมันอาจช่วยพัฒนาการรักษาแบบเฉพาะบุคคล โดยปรับการดูแลให้เหมาะสมกับการตอบสนองเฉพาะตัวของผู้ป่วยต่อภาวะอ้วนและการลดน้ำหนัก
งานวิจัยนี้เน้นให้เห็นว่าภาวะอ้วนเป็นภาวะเรื้อรังที่ซับซ้อน และการรักษาต้องมุ่งเน้นไปมากกว่าการพึ่งพาความตั้งใจหรือการปรับพฤติกรรมเพียงอย่างเดียว กลไกทางชีววิทยาที่เกี่ยวข้องแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการพัฒนาวิธีการใหม่ ๆ ที่ช่วยให้การจัดการน้ำหนักมีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากขึ้น
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่การลดน้ำหนัก จึงเป็นเรื่องที่ยากและมีอุปสรรคมากมาย ทั้งปัจจัยภายในและภายนอก ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่มุ่งมั่นในการลดน้ำหนัก ให้กลับมามีสุขภาพแข็งแรงกัน