สยอง "ผีป่าช้าวัดดอน"
ในหมู่บ้านเล็กๆ ห่างไกลจากเมืองใหญ่ มีวัดเก่าแก่ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาร่มรื่นชื่อว่า "วัดดอน" วัดนี้อยู่ในป่าทึบที่เต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่และหนาทึบ ทุกคนในหมู่บ้านรู้ดีว่าควรหลีกเลี่ยงการเดินทางไปที่วัดดอนในช่วงกลางคืน เพราะมีเรื่องเล่าขานถึงความน่ากลัวที่เกิดขึ้นในป่านั้น—สิ่งที่ไม่อาจเห็นด้วยตาเปล่า แต่สามารถสัมผัสได้ด้วยความรู้สึกและความกลัว
"สุรินทร์" ชายหนุ่มวัย 25 ปี ผู้ที่เพิ่งย้ายมาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้กับครอบครัว เขาเป็นคนไม่ค่อยเชื่อเรื่องผีสางและมักจะหัวเราะเมื่อได้ยินเรื่องราวเหล่านั้นจากปากของชาวบ้าน ชาวบ้านต่างเตือนเขาว่าอย่าเข้าไปใกล้ป่าช้าในวัดดอน เพราะมีการกล่าวถึงวิญญาณของผู้ที่เคยเสียชีวิตอย่างผิดธรรมชาติและยังคงหลอกหลอนในป่านั้น
แต่สุรินทร์ไม่เชื่อในคำเตือนเหล่านั้น เขาอยากจะพิสูจน์ให้เห็นว่าทุกสิ่งที่เล่าขานกันมาเป็นแค่เรื่องหลอกลวงที่ไม่มีมูลความจริง
คืนหนึ่งหลังจากดึกดื่น เขาตัดสินใจเดินไปที่วัดดอนเพียงลำพัง เขาต้องการไปให้เห็นด้วยตาของตัวเองว่า "ผีป่าช้าวัดดอน" ที่ทุกคนพูดถึงนั้นมีจริงหรือไม่
เมื่อเขามาถึงขอบป่าที่อยู่ใกล้ๆ กับวัด สภาพแวดล้อมรอบๆ ก็เริ่มเปลี่ยนไปอย่างน่าประหลาด เสียงของลมพัดผ่านต้นไม้ใหญ่ฟังดูเหมือนเสียงกระซิบ เสียงเห่าไกลๆ ของสุนัขในหมู่บ้านก็ดับหายไป ท้องฟ้าเริ่มหม่นหมองและแสงจากดวงจันทร์ก็ส่องลงมาเพียงน้อยนิดทำให้ทางเดินในป่าดูน่ากลัวและมืดมิด
สุรินทร์เดินเข้าไปในวัดด้วยความมั่นใจ แม้ว่ารู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกที่ปกคลุมอยู่ในอากาศ เขาเดินไปเรื่อยๆ ผ่านเจดีย์เก่าและวิหารที่ทรุดโทรม จนกระทั่งมาถึงบริเวณที่มีหลุมศพเก่ารวมกันอยู่ในส่วนหนึ่งของวัด—"ป่าช้าวัดดอน"
ทันทีที่เขายืนอยู่ในบริเวณนั้น ความรู้สึกไม่ธรรมดาก็เข้ามาทันที เขารู้สึกถึงลมหายใจที่แผ่วเบา และเสียงของบางสิ่งที่เหมือนจะหายไปจากโลกนี้ มันเหมือนเสียงฝีเท้าหนักๆ ที่เดินวนรอบตัวเขา
สุรินทร์หยุดเดินและหันไปมองไปรอบๆ เขาเห็นเงาคนหลายๆ รูปร่างเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วภายในความมืด เหมือนมีวิญญาณจำนวนมากที่ลอยไปมา เงาของสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้แต่สัมผัสได้ด้วยความกลัว
แล้วเขาก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นในหูของเขา… เสียงเห่าหอนของสุนัขดังขึ้นจากทิศทางที่ห่างออกไป เสียงนั้นดังมาจากป่าลึกในด้านหลังของวัด สุนัขนั้นเห่าเหมือนมันเห็นบางสิ่งบางอย่างที่ไม่สามารถมองเห็นได้
“ใครอยู่ที่นั่น?” สุรินทร์ถามด้วยเสียงสั่นเครือ
เสียงตอบกลับเป็นเสียงกระซิบของคนที่หายไปแล้ว… "อย่ามา... อย่าเข้ามา..."
ในทันทีที่เสียงนั้นดังขึ้น เขารู้สึกได้ถึงลมเย็นที่พัดผ่านใบหน้าของเขา ใจของเขาหยุดเต้นเหมือนถูกน้ำแข็งปกคลุม เขาหันไปมองที่หลุมศพที่อยู่ใกล้ๆ กับเขา และเห็นสิ่งที่ไม่อาจลืมเลือน—เงาของบางสิ่งที่สูงใหญ่ ท่าทางเหมือนคนที่กำลังคืบคลานออกมาจากหลุมศพ
"ใครกัน?" สุรินทร์ก้าวถอยหลังไป แต่กลับพบว่ามีสิ่งบางอย่างจับขาของเขาไว้—มันเหมือนมือของใครบางคนที่ไม่สามารถมองเห็นได้ แต่สัมผัสได้ถึงแรงดึงรั้ง
เขาพยายามดึงขาตัวเองออก แต่ยิ่งพยายามยิ่งรู้สึกถึงแรงที่จับเขาไว้แน่นขึ้นจนแทบจะไม่สามารถขยับได้ และในทันใดนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงคำพูดจากที่ไหนสักแห่ง…
"ข้า… ข้า… หิว… หิว... ตลอดไป…"
เสียงนั้นดังเข้ามาในหูของเขาอย่างชัดเจน สุรินทร์หันกลับไปและเห็นสิ่งที่ไม่อยากเห็น—เป็นร่างของ ผีเปรต ตัวยักษ์ รูปร่างบิดเบี้ยว ท้องใหญ่โตราวกับท้องที่บวมเป่ง ทอดแขนยาวและเล็บที่แหลมคม มันกำลังเดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับท่าทางหิวโหย
“ข้าจะไม่ได้ออกไปจากที่นี่ใช่ไหม...” สุรินทร์พึมพำในใจ แต่ก็รู้ตัวดีว่าเขาได้เข้าไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีทางหลีกหนี
วิญญาณของผู้ที่ต้องทนทุกข์ในป่าช้าวัดดอนยังคงหลอกหลอนพวกเขา ผู้ที่หลงเข้ามาในพื้นที่ต้องคำสาปแห่งนี้จะต้องตกอยู่ในวังวนของความหิวโหยและการทรมาน... ตลอดไป.
รุ่งเช้าวันต่อมา ชาวบ้านพบเพียงร่างของสุรินทร์ที่นอนหมดสติอยู่ข้างทาง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น ราวกับเขาฝันร้ายที่ไม่มีวันตื่น และทุกคนรู้ดีว่ามีบางสิ่งที่ไม่ได้ตายจากไปในป่าช้าวัดดอน—มันยังคงหลอกหลอนทุกคนที่กล้าเข้าไป.
https://pixabay.com/th/illustrations/