คีเลชั่น (Chelation) เป็นการรักษาทางเลือกที่ใช้สารเคมีจับกับโลหะหนักและสารพิษอื่นๆ ในร่างกาย ซึ่งจะดึงดูดโลหะหนักและพาออกจากร่างกายผ่านทางปัสสาวะ
การทำคีเลชั่น (Chelation) คืออะไร? คีเลชั่น เป็นวิธีการรักษาทางเลือกที่ใช้สารเคมีจับกับโลหะหนักและเป็นการล้างสารพิษในร่างกาย สารคีเลต (Chelating agent) เหล่านี้จะดึงดูดโลหะหนักและพาออกจากร่างกายผ่านทางปัสสาวะ เปรียบเสมือนการเกาะติดโลหะหนักและพัดพาออกไป
ทำไมต้องทำคีเลชั่น?
เหตุผลที่หลายคนเลือกทำคีเลชั่น รวมไปถึงข้อดีของการทำคีเลชั่นบำบัด มีดังนี้
- เพื่อขจัดโลหะหนักและสารพิษ: คีเลชั่นสามารถช่วยล้างโลหะหนักในร่างกาย เช่น ตะกั่ว ปรอท แคดเมียม และสารหนู โดยโลหะหนักเหล่านี้สามารถสะสมในร่างกายและส่งผลเสียต่อระบบประสาท ไต และระบบอื่นๆ
- เพื่อปรับปรุงสุขภาพหัวใจ: คีเลชั่นอาจช่วยลดคราบไขมันในหลอดเลือดแดง ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด
- เพื่อชะลอความก้าวหน้าของโรคอัลไซเมอร์: มีบางหลักฐานที่บ่งชี้ว่าคีเลชั่นอาจช่วยชะลอความก้าวหน้าของโรคอัลไซเมอร์
- เพื่อเพิ่มพลังงาน: บางคนเชื่อว่าคีเลชั่นสามารถช่วยเพิ่มพลังงานและลดความรู้สึกอ่อนเพลีย
- เพื่อปรับปรุงสุขภาพโดยรวม: บางคนเชื่อว่าคีเลชั่นสามารถช่วยปรับปรุงสุขภาพโดยรวมและความเป็นอยู่ที่ดี
อย่างไรก็ตาม คีเลชั่นไม่ใช่การรักษาโรคทุกชนิด และไม่ควรใช้แทนการรักษาทางการแพทย์มาตรฐาน การทำ Chelation Therapy อาจมีผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย และความดันโลหิตต่ำ ผู้ที่มีภาวะไตวายหรือโรคบางชนิดไม่ควรทำคีเลชั่น และควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
สัญญาณเมื่อมีพิษโลหะหนักสะสมในร่างกาย?
สัญญาณเตือนว่าร่างกายอาจมีพิษโลหะหนัก ได้แก่
- อ่อนเพลีย รู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนแอ
- ปวดศีรษะ ปวดบ่อย หรือปวดรุนแรง
- ปวดท้อง ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน
- ปัญหาทางระบบประสาท ชา ชา สับสน ความจำเสื่อม อารมณ์แปรปรวน
- ปัญหาทางไต ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะมีเลือดปน บวมตามใบหน้า มือ เท้า
- ปัญหาผิวหนัง ผื่น ลมพิษ ผิวหนังเปลี่ยนสี
- ความดันโลหิตสูง
- ผมร่วง
- มีอาการซึมเศร้า
อย่างไรก็ตาม อาการเหล่านี้อาจเกิดจากสาเหตุอื่นได้เช่นกัน ดังนั้นการตรวจเลือดหรือปัสสาวะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการวินิจฉัยว่ามีพิษโลหะหนักหรือไม่
การทำคีเลชั่นมีผลข้างเคียงไหม?
การทํา Chelation โดยทั่วไปถือว่าปลอดภัยเมื่อทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แต่ก็อาจมีผลข้างเคียงบางประการ ผลข้างเคียงเหล่านี้อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับบุคคล สภาพสุขภาพ และยาที่ใช้ ผลข้างเคียงที่มักพบบ่อย ได้แก่
- อาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย เป็นผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุดของการทำคีเลชั่น มักเกิดขึ้นชั่วคราวและหายไปเองภายใน 1-2 วัน
- ความดันโลหิตต่ำ คีเลชั่นอาจทำให้ความดันโลหิตลดลง โดยเฉพาะในผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำอยู่แล้ว
- เวียนหัว อ่อนเพลีย อาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับแร่ธาตุในร่างกาย
- ปวดศีรษะ มักเกิดขึ้นชั่วคราวและหายไปเองภายใน 1-2 วัน
- ปฏิกิริยาภูมิแพ้ ในบางกรณีอาจเกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ต่อสารคีเลต อาจมีอาการเช่น ผื่นคัน หายใจลำบาก บวม ควรหยุดการทำคีเลชั่นและรีบไปพบแพทย์ทันที
ผลข้างเคียงที่รุนแรงแต่พบได้น้อย ได้แก่
- ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
- ภาวะช็อก
- ความเสียหายของไต
- การเสียชีวิต
ใครบ้างที่ควรทำคีเลชั่น?
การตัดสินใจว่าจะทำคีเลชั่นหรือไม่นั้นเป็นการตัดสินใจส่วนบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อหารือเกี่ยวกับความเสี่ยงและประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้น
- ผู้ที่มีระดับโลหะหนักในร่างกายสูง จากการตรวจเลือดหรือปัสสาวะ
- ผู้ที่มีอาการที่บ่งบอกถึงพิษโลหะหนัก เช่น อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดท้อง ปัญหาทางระบบประสาท ปัญหาทางไต ปัญหาผิวหนัง ความดันโลหิตสูง ผมร่วง ซึมเศร้า
- ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการสัมผัสกับโลหะหนัก เช่น ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีมลพิษทางอากาศสูง ทานอาหารทะเลบ่อยๆ
แล้วใครที่ไม่ควรทำคีเลชั่น?
- ผู้ที่มีภาวะไตวาย
- ผู้ที่มีโรคหัวใจ
- ผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำ
- ผู้ที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
- ผู้ที่ทานยาบางชนิด
สรุปการทำคีเลชั่น (Chelation)
คีเลชั่น (Chelation) เป็นกระบวนการทางเคมีที่มีการใช้สารเคมีที่เรียกว่าเคลเทนเซอร์ (Chelating agent) เพื่อเชื่อมต่อกับเมล็ดโลหะหรือโลหะหลายชนิดที่มีอยู่ในร่างกายของมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตเพื่อทำให้เกิดสารละลายที่ลดลงและนำออกจากร่างกายได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม คีเลชั่นไม่ใช่การรักษาโรคทุกชนิด และไม่ควรใช้แทนการรักษาทางการแพทย์มาตรฐาน การทำคีเลชั่นอาจมีผลข้างเคียง ดังนั้นควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจทำคีเลชั่น พร้อมเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อหารือเกี่ยวกับความเสี่ยงและประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้น เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าเข้าใจขั้นตอนการรักษาและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น