เมื่อพูดถึง "โรคออฟฟิศซินโดรม" หลายคนอาจนึกถึงอาการปวดหลัง ปวดไหล่ หรือแม้แต่ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นจากการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ตลอดทั้งวัน แต่อาการเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะการนั่งทำงานเท่านั้น ยังมีสาเหตุอื่นๆ และสัญญาณเตือนที่คุณอาจมองข้าม วันนี้เราจะพาคุณไปสำรวจ 5 สัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณอาจกำลังเผชิญกับโรคออฟฟิศซินโดรม พร้อมคำแนะนำในการรับมือเพื่อป้องกันอาการที่อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว
1. อาการปวดตึงที่ต้นคอและบ่า
หนึ่งในสัญญาณแรกของโรคออฟฟิศซินโดรมคืออาการปวดตึงที่ต้นคอและบ่า ซึ่งมักเกิดจากการนั่งในท่าเดิมเป็นเวลานาน การก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ หรือการนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์โดยไม่มีการปรับท่าทางให้เหมาะสม อาการนี้อาจเริ่มต้นด้วยความรู้สึกเมื่อยล้าธรรมดา แต่หากปล่อยไว้นานโดยไม่ได้แก้ไข อาจนำไปสู่อาการอักเสบเรื้อรัง
วิธีรับมือ:
- ปรับเก้าอี้และโต๊ะให้เหมาะสมกับระดับสายตา
- พักสายตาและลุกขึ้นยืดเหยียดร่างกายทุกๆ 30 นาที
- ใช้หมอนรองคอเวลานั่งทำงาน
2. อาการชาที่ปลายมือและนิ้ว
อาการชาหรือรู้สึกเหมือนมดกัดที่ปลายมือและนิ้วเป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่พบได้บ่อย ซึ่งอาจเกิดจากเส้นประสาทบริเวณข้อมือถูกกดทับ (Carpal Tunnel Syndrome) หรือการใช้อุปกรณ์ที่ไม่เหมาะสม เช่น การใช้เมาส์หรือคีย์บอร์ดในมุมที่ทำให้ข้อมืออยู่ในท่าที่ผิด
วิธีรับมือ:
- เลือกใช้อุปกรณ์เสริม เช่น ที่รองข้อมือ
- ฝึกบริหารมือและข้อมือ เช่น การกำลูกบอลยาง
- หลีกเลี่ยงการใช้ข้อมือในท่าที่เกร็งนานๆ
3. ปวดหัวเรื้อรังและสายตาเมื่อยล้า
การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานานโดยไม่มีการพักสายตา อาจทำให้เกิดอาการปวดหัวเรื้อรัง และปัญหาสายตาเมื่อยล้า ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพการทำงานและการพักผ่อน
วิธีรับมือ:
- ใช้กฎ 20-20-20: ทุกๆ 20 นาที ให้มองไปไกล 20 ฟุต นาน 20 วินาที
- ปรับแสงหน้าจอให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
- ตรวจสุขภาพสายตาเป็นประจำ
4. อาการปวดหลังและปวดเอว
การนั่งทำงานในท่าที่ไม่ถูกต้องหรือเก้าอี้ที่ไม่รองรับสรีระ อาจทำให้กล้ามเนื้อหลังและเอวต้องทำงานหนักขึ้น ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการปวดเมื่อยและในบางกรณีอาจทำให้เกิดหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท
วิธีรับมือ:
- ใช้เก้าอี้ที่รองรับสรีระและปรับความสูงได้
- ฝึกนั่งในท่าที่หลังตรงและเท้าวางแนบพื้น
- ออกกำลังกายเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลัง
5. ความเครียดสะสมและสมาธิสั้น
โรคออฟฟิศซินโดรมไม่ได้ส่งผลกระทบเพียงแค่ร่างกาย แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพจิตอีกด้วย การทำงานที่ต้องรับผิดชอบมากเกินไป หรือการไม่มีสมดุลระหว่างการทำงานและการพักผ่อน อาจทำให้เกิดความเครียดสะสมและสมาธิสั้น
วิธีรับมือ:
- จัดลำดับความสำคัญของงานและแบ่งเวลาให้เหมาะสม
- ฝึกการทำสมาธิหรือหากิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลาย
- ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญหากรู้สึกเครียดเกินไป
การป้องกันโรคออฟฟิศซินโดรมในระยะยาว
นอกจากการแก้ไขอาการเฉพาะจุด การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันยังเป็นสิ่งสำคัญ เช่น การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการนอนหลับอย่างเพียงพอ