10 วิธีเลือกเน็ตบ้านให้ถูกใจที่สุด ฉบับเข้าใจง่าย
เพราะแพ็กเกจเน็ตบ้านมีเป็นหลักร้อย ยี่ห้อก็มีให้เลือกหลายตัว การเลือกเน็ตบ้านที่ถูกใจเปรียบเหมือนการเลือกของใช้จำเป็นในบ้าน เราไม่ได้ใช้แค่เพื่อความบันเทิง แต่ยังใช้ทำงาน เรียน และเชื่อมต่อกับคนรอบตัว หากเลือกผิดอาจทำให้หัวเสียได้ทุกวัน แต่ถ้าเลือกถูก ก็ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะ มาลองดู 10 วิธีง่ายๆ ที่จะช่วยให้เราเลือกเน็ตบ้านที่เหมาะกับการใช้งานของตัวเองกัน
1. ดูว่าใช้อินเทอร์เน็ตไปทำอะไรเป็นหลัก
การใช้งานอินเทอร์เน็ตของแต่ละบ้านไม่เหมือนกัน บางคนใช้เน็ตหนักๆ เช่น เล่นเกมออนไลน์ ดูหนังความละเอียด 4K หรือประชุมงานผ่านวิดีโอที่ต้องใช้ความเร็วสูง หากเป็นแบบนี้ ควรเลือกความเร็วที่สูงกว่า เช่น 500Mbps หรือมากกว่านั้น แต่ถ้าแค่ใช้เพื่อเปิดโซเชียล ดู YouTube ความละเอียดปกติ หรือเช็กอีเมล ความเร็วระดับ 100-300Mbps ก็เพียงพอ
2. เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจ
หลายครั้งเรามองแค่ราคาถูกที่สุดแล้วตัดสินใจ แต่บางแพ็กเกจที่ดูแพงกว่าอาจคุ้มค่ากว่า เช่น ได้อุปกรณ์ Wi-Fi ฟรี หรือมีบริการเสริมที่น่าสนใจอย่างแอปสตรีมมิ่ง หรือโทรฟรี หากเราเปรียบเทียบทั้งราคาและสิ่งที่ได้รับอย่างละเอียด จะช่วยให้เลือกได้ง่ายขึ้น
3. เช็กความเสถียรในพื้นที่
เน็ตที่แรงในโฆษณาอาจไม่แรงในบ้านเรา การตรวจสอบความเสถียรในพื้นที่เป็นสิ่งสำคัญ ลองสอบถามเพื่อนบ้านหรือดูรีวิวในพื้นที่เดียวกันว่า ISP เจ้าไหนให้บริการดี นอกจากนี้ ควรตรวจสอบว่าผู้ให้บริการมีการดูแลหรือซ่อมบำรุงในพื้นที่เร็วแค่ไหน
4. ตรวจสอบค่าอัปโหลดและดาวน์โหลด
ส่วนใหญ่คนมักดูแค่ความเร็วดาวน์โหลด เช่น 500Mbps แต่ลืมดูค่าอัปโหลด ซึ่งสำคัญมากหากต้องอัปโหลดไฟล์งาน แชร์วิดีโอ หรือประชุมออนไลน์ ค่าอัปโหลดที่ต่ำเกินไปอาจทำให้การทำงานสะดุดได้ เลือกแพ็กเกจที่ทั้งดาวน์โหลดและอัปโหลดสมดุลกันจะดีที่สุด
5. เลือกแพ็กเกจที่มีสัญญาณ Wi-Fi ครอบคลุม
เน็ตที่แรงแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ถ้าสัญญาณ Wi-Fi ส่งไม่ถึงห้องในบ้าน หากบ้านมีหลายชั้นหรือพื้นที่กว้าง ควรเลือกแพ็กเกจที่แถมอุปกรณ์เสริม เช่น Wi-Fi Mesh หรือมีเราเตอร์คุณภาพดีที่ช่วยกระจายสัญญาณให้ครอบคลุม
6. ดูโปรโมชั่นและสิทธิพิเศษ
โปรโมชันช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้เยอะ เช่น ส่วนลดรายเดือน ฟรีค่าติดตั้ง หรือแถมแอปพลิเคชันดูหนัง หากเราเจอโปรโมชันที่ถูกใจ ก็ช่วยให้ได้แพ็กเกจที่คุ้มค่ามากขึ้น
7. ตรวจสอบเงื่อนไขสัญญา
บางแพ็กเกจอาจดูดี แต่มีสัญญาระยะยาวที่ไม่ยืดหยุ่น หากเราต้องการย้ายบ้านหรือเปลี่ยนผู้ให้บริการ อาจต้องจ่ายค่าปรับสูง ควรตรวจสอบเงื่อนไขก่อนตัดสินใจ
8. เลือกความเร็วที่ตอบโจทย์สมาชิกในบ้าน
หากมีคนใช้เน็ตในบ้านหลายคน เช่น ลูกเล่นเกม พ่อดู YouTube และแม่ประชุมออนไลน์ ควรเลือกความเร็วที่รองรับการใช้งานพร้อมกันได้ เช่น 1Gbps เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเน็ตช้าในช่วงที่ทุกคนใช้งานพร้อมกัน
9. ใช้ Speed Test เพื่อตรวจสอบความเร็วจริง
หลังจากติดตั้งเน็ตบ้าน ควรทดสอบความเร็วด้วย Speed Test เพื่อเช็กว่าได้รับความเร็วตามที่แพ็กเกจระบุหรือไม่ หากไม่ได้ตามที่โฆษณา สามารถแจ้ง ISP ให้ตรวจสอบและปรับปรุงได้
10. เลือกผู้ให้บริการที่มีบริการหลังการขายดี
แม้จะเลือกแพ็กเกจดีแค่ไหน แต่หากเจอปัญหาแล้วผู้ให้บริการไม่แก้ไขหรือบริการล่าช้า ก็ไม่คุ้มค่า ลองเลือก ISP ที่มีชื่อเสียงในด้านการให้บริการหลังการขาย เช่น แก้ไขปัญหาเร็ว หรือมีช่องทางติดต่อสะดวก
ส่วนแบ่งการตลาดของเน็ตบ้านยี่ห้อต่างๆ
ในปี 2023 ตลาดอินเทอร์เน็ตบ้านในประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ โดยมีผู้ให้บริการหลักดังนี้:
-
TrueOnline: ยังคงเป็นผู้นำตลาดด้วยฐานลูกค้าประมาณ 4.73 ล้านราย คิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 43.1%
-
3BB: มีลูกค้าประมาณ 2.42 ล้านราย คิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 22.1%
-
NT (National Telecom): มีลูกค้าประมาณ 1.95 ล้านราย คิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 17.8%
-
AIS Fibre: มีลูกค้าประมาณ 1.865 ล้านราย คิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 17%
อย่างไรก็ตาม การเข้าซื้อกิจการ 3BB โดย AIS ในปี 2023 ทำให้ฐานลูกค้ารวมของ AIS เพิ่มขึ้นเป็น 4.69 ล้านราย ส่งผลให้ AIS ขึ้นเป็นผู้นำตลาดอินเทอร์เน็ตบ้านในประเทศไทย แม้ว่าหลายค่ายจะประโคมโปรโมชั่นกันอย่างกระหน่ำ ไม่ว่าจะเป็น เน็ตบ้านทรู (ปัจจุบันควบรวมกับดีแทค) และการรวมตัวกันของ AIS + 3BB เรายังคงต้องใช้ปัจจัยด้านบนนี้ในการเลือกใช้งาน เพราะมีสัญญาระยะยาวในบางครั้งถึง 2 ปี
การเลือกเน็ตบ้านไม่ใช่แค่เรื่องความเร็วหรือราคา แต่ยังต้องคำนึงถึงการใช้งาน ความเสถียรในพื้นที่ และบริการหลังการขาย หากเราตรวจสอบทุกข้ออย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ จะช่วยให้ได้เน็ตบ้านที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตัวเองและครอบครัว พร้อมใช้งานได้แบบไม่ต้องกังวล!