คำทำนายวันโลกสิ้นของ'หลวงปู่เทสก์'
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี หรือ พระราชนิโรธรังสี (26 เมษายน พ.ศ. 2445 - 17 ธันวาคม พ.ศ. 2537) จากวัดหินหมากเป้ง ตำบลพระพุทธบาท อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย เป็นศิษย์หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล และหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ท่านได้รับการเคารพนับถืออย่างมากโดยเฉพาะชาวไทย และชาวลาว จนได้รับการขนานนามว่าเป็น“ดวงประทีปแห่งลุ่มน้ำโขง”
หลวงปู่เทสก์ได้พยากรณ์ถึงความเสื่อมของโลก โดยได้ตีพิมพ์ในหนังสือ เทสรังสีอนุสรณาลัย ที่พิมพ์แจกจ่ายเป็นธรรมวิทยาทาน และเป็นอนุสรณ์เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพ พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี) ณ เมรุพิเศษวัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย โดยระบุไว้ดังนี้
"...พากันมาฟังความเสื่อมฉิบหายของโลกต่อไป "โลก" คือ ความเสื่อมอันจะต้องถึงแก่ความฉิบหายในวันหนึ่งข้างหน้า เขาจึงเรียกว่าโลก ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วคำว่า "โลก" ก็จะไม่มี โลกเกิดจากวัตถุอันหนึ่ง ซึ่งเป็นก้อนเล็ก ๆ อันเกิดจากฟองมหาสมุทรที่กระทบกัน แล้วกลายเป็นก้อนเล็ก ๆ ขึ้นก่อน จะเรียกว่าอะไรก็เรียกไม่ถูก เรียกว่า ธาตุอันหนึ่งก็แล้วกัน คือหมายถึงวัตถุธรรมชาติที่เกิดขึ้นเอง เป็นเอง
แล้วค่อยขยายกว้างใหญ่ไพศาลจรดขอบเขตแม่น้ำและมหาสมุทรทั้งสี่ โดยมีจักรวาลเป็นขอบเขต แล้วค่อยปริออกเป็นส่วนเล็ก ๆ น้อย ๆ แปรสภาพเป็นรูปลักษณะต่าง ๆ กัน มีอวัยวะครบบริบูรณ์ แล้วมีจิตวิญญาณซึ่งคุ้นเคยเป็นกันเองเข้ามาครอบครอง ทำหน้าที่บังคับบัญชาธาตุนั้น ๆ ให้เป็นไปตามวัตถุของโลก ซึ่งเราเรียกกันว่า "คน" นั่นเอง
แต่ละคนหรือตัวตนที่สมมติว่าคนนี้ ก็ต้องเสื่อมสลายไปในวันหนึ่งข้างหน้าเช่นเดียวกัน แม้ในเดี๋ยวนี้ คนหรือที่เรียกว่ามนุษย์สัตว์โลกหรือมนุษย์โลกก็กำลังเสื่อมไปอยู่ทุก ๆ วัน ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้เมื่อพระองค์ทรงสำเร็จโพธิญาณใหม่ ๆ ว่า
มนุษย์ชาวโลกนี้มีอายุประมาณ 100 ปี ระยะเวลาผ่านไป 100 ปี อายุคนจะลดน้อยถอยลงมาปีหนึ่ง ปัจจุบันนี้พระพุทธองค์นิพพานไปได้ประมาณ 2,500 ปีแล้ว อายุของมนุษย์จะเสื่อมลงคงเหลือประมาณ 75 ปี ถ้าคำนวณตามแบบนี้ อายุของมนุษย์ก็จะเสื่อมเร็วนักหนา อายุของมนุษย์จะเสื่อมลงไปอย่างนี้เรื่อย ๆ จนกระทั่งเหลือ 10 ปีก็มีครอบครัว เป็นผัวเมียสืบพันธุ์กัน
แม้สัตว์เดรัจฉานอื่น ๆ ก็เสื่อมลงโดยลำดับเช่นเดียวกับมนุษย์ ดินฟ้าอากาศก็เปลี่ยนแปลงปรวนแปรเป็นไปต่าง ๆ จนเป็นเหตุให้เกิดกลียุคฆ่าฟันกันตายเป็นหมู่ ๆ เหล่า ๆ สัตว์ตัวใหญ่ที่มีอิทธิพลก็ทำลายสัตว์ตัวน้อย ให้ล้มตายหายสูญเป็นอันมาก มนุษย์จะกลายเป็นคนไม่มีพ่อแม่ พี่น้อง หรือญาติวงศ์ซึ่งกันและกัน เมื่อเห็นหน้ากันและกันก็จับไม้ค้อนก้อนดินขึ้นมากลายเป็นศาสตราวุธประหัตประหารฆ่ากันตายเป็นหมู่ ๆ เรื่องศีลธรรมไม่ต้องพูดถึงเลย แม่น้ำลำคลอง ห้วย หนอง คลอง บึง ก็เหือดแห้งเป็นตอน ๆ ฝนไม่ตกเป็นหมื่น ๆ แสน ๆ ปี มีแต่เสียงฟ้าร้องครืน ๆ แต่ไม่มีฝนตก
เมื่อเป็นเช่นนั้น น้ำในทะเลอันใหญ่โตกว้างขวางและลึกจนประมาณมิได้ก็เหือดแห้งกลายเป็นทะเลทราย ปลาตัวหนึ่งซึ่งใหญ่ที่สุดในโลกมีชื่อว่า "ติมิงคละ" ก็นอนตายอยู่บนกองทราย และโดยอำนาจของแดดเผาผลาญ ทำให้ปลาตัวนั้นมีน้ำไหลออกบังเกิดเป็นไฟลุกท่วมท้น ทำให้มนุษย์โลกทั้งหลายฉิบหายเป็นจุณวิจุณ เขาเรียกว่า ไฟบรรลัยโลก โลกนี้ทั้งหมดก็จะกลายเป็นอัชฌัตตากาศอันว่างเปล่า สัตว์ที่มีวิญญาณก็จะขึ้นไปเกิดในภพของพรหมชั้นอาภัสสระ ซึ่งไฟนั้นไหม้ไม่ถึง
ในหนังสือ ไตรโลกวิตถาร ท่านกล่าวว่า โลกนี้ทั้งหมดจะต้องฉิบหายโดยอาการ 3 อย่าง คือ ราคะ โทสะ โมหะ 3 ประการนี้เป็นเหตุ
สัตว์หนาไปด้วยราคะ โลกนี้จะต้องฉิบหายด้วยน้ำ
สัตว์หนาไปด้วยโทสะ โลกก็จะต้องฉิบหายด้วยไฟ
สัตว์หนาไปด้วยโมหะ โลกจะต้องฉิบหายด้วยลม
โลกจะต้องฉิบหายด้วยการบรรลัยโลกกันอยู่อย่างนี้ในระหว่างกัลป์ใหญ่ ๆ ไฟบรรลัยโลกเล็ก ๆ ที่เกิดในระหว่างกัลป์ใหญ่ ๆ นี้ มีปัญหาน่าพิจารณา น้ำราคะอันมีอยู่ในมนุษย์ชาวโลกแต่ละคนมีอยู่น้อยนิดเดียว ทำไมท่านแสดงว่าสามารถท่วมโลกได้จนเป็นน้ำบรรลัยโลก โทสะและโมหะก็เหมือนกัน อยู่ในตัวมนุษย์โลกซึ่งมองไม่เห็น ทำไมจึงแสดงฤทธิ์ใหญ่โตจนไหม้โลกและพัดเอาโลกจนฉิบหาย ขอนักปราชญ์เจ้าจงใช้ปัญญาพิจารณาให้ถ่องแท้ เห็นจะไม่ท่วมโลกและเผาโลกให้ฉิบหายเป็นกัปป์เป็นกัลป์ดังว่านั้นก็ได้ พวกเราชาวโลกผู้มีน้ำและไฟหรือลมอยู่ในตัวนิดหน่อยนี้คงจะมองเห็นฤทธิ์เดช เรื่องของทั้ง 3 นี้ ว่ามีฤทธิ์เดชเพียงใด
ราคะ คือ ความกำหนัดยินดีในสิ่งสารพัดวัตถุทั้งปวงมีผัวเมียเป็นต้น มันท่วมท้นอยู่ในอกโดยความรักใคร่อันหาประมาณมิได้
โทสะ คือ ไฟกองเล็ก ๆ นี้ก็เหมือนกัน มันไหม้เผาผลาญสัตว์มนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุด จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ
โมหะ ก็เช่นเดียวกัน มันพัดเอาฝุ่นละอองกิเลสภายนอกและภายในมาท่วมทับหัวอกของคนจนมืดมิด ให้เข้าใจว่า สิ่งที่ผิดเป็นถูก
ของ 3 อย่างนี้มีฤทธิ์มีเดชมหาศาลสามารถทำลายโลกให้เป็นกัปป์กัลป์ได้ แต่ละกัปป์นั้นท่านถึงไม่ได้แสดงมีอายุเวียนมาสักเท่าไร เป็นแต่แสดงว่ากัปป์เล็กในระหว่างกัปป์ใหญ่ เห็นจะเพราะน้ำราคะ ไฟโทสะ ลมโมหะ เพียงแต่พูดเปรย ๆ เพื่อให้นักปราชญ์ผู้มีปรีชาเอามาคิด เพื่อไม่ให้หลงผิด ๆ ถูก ๆ รู้จักชัดแจ้งโดยใจตัวเอง ชัดแจ้งด้วยใจของตนแล้วนำมาพิจารณาเฉพาะตน ๆ ..."
อ้างอิงจาก: https://www.facebook.com/share/p/15KLzTLDdf/
https://www.facebook.com/share/175EHqrFFD/
https://th.m.wikipedia.org/wiki/พระราชนิโรธรังสี_(%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B8%81%E0%B9%8C_%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%8D%E0%B8%AA%E0%B8%B5)