ปรบมือรัว "แม่หยัวEP5" กล้าเล่นประเด็น LGBTQ+ สมัยอยุธยา ถือว่าทำถึงจริง !!
ปรบมือรัว "แม่หยัวEP5" กล้าเล่นประเด็น LGBTQ+ สมัยอยุธยา ถือว่าทำถึงจริง !!
ในละคร #แม่หยัวep5 ที่ผ่านมา เราได้เห็นการเปิดตัวของตัวละครที่เป็น LGBTQ+ ถึงสามคนด้วยกัน ซึ่งรวมถึงตัวละครหลักอย่าง "ตันหยง" และผู้ดูแลหอพระทั้งสองคนที่ทำให้เกิดการพูดถึงกันอย่างมากในกลุ่มคนดู ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ตัวละคร LGBTQ+ เหล่านี้ไม่ได้ถูกนำเสนอแบบเกินจริงหรือเป็นเพียงตัวประกอบที่สร้างสีสันเท่านั้น แต่พวกเขามีบทบาทจริงในเรื่องและมีมิติของตัวละครที่ชัดเจน ตัวละคร "ตันหยง" ที่เคยมีการบอกใบ้ถึงความเป็นเกย์มาตั้งแต่ตอนแรกที่คอยดูแลและช่วยเหลือ "จินดา" นับเป็นการนำเสนอที่อ่อนโยนแต่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นจากท่าทีหรือการแสดงออกที่มีความเป็นธรรมชาติ ทำให้คนดูเชื่อมโยงและรับรู้ได้ถึงตัวตนของเขาแบบไม่ต้องมีคำอธิบายเพิ่มเติม
ที่น่าสนใจคือการแคสต์นักแสดงมารับบทเป็นผู้ดูแลหอพระใน #แม่หยัวep5 ทำได้อย่างลงตัว ตัวละครเหล่านี้ปรากฏตัวเพียงไม่นานแต่กลับสร้างความประทับใจด้วยสายตา ท่าที และบุคลิกที่แสดงถึงความเป็น LGBTQ+ ได้อย่างเหมาะสม การสื่อสารที่ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่แสดงผ่านภาษากายและการกระทำ ทำให้ผู้ชมรู้สึกเชื่อมโยงและเห็นถึงความเป็นตัวตนของพวกเขา การแคสติ้งแบบนี้เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย เพราะต้องการนักแสดงที่สามารถสะท้อนมิติและตัวตนของคนกลุ่มนี้ได้จริงๆ เพื่อให้คนดูรู้สึกถึงความสมจริงและความใกล้ชิด
สิ่งที่ละคร #แม่หยัว ทำให้เห็นคือการนำเสนอ LGBTQ+ ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องจำกัดตัวละครเหล่านี้อยู่เพียงในซีรีส์วายหรือเป็นตัวประกอบที่ถูกใส่เข้ามาเพื่อเพิ่มสีสันเท่านั้น ละครทำให้ผู้ชมรู้สึกว่าการมีตัวละครที่เป็น LGBTQ+ ในเรื่องราวต่างๆ เป็นเรื่องที่ปกติ ควรค่าแก่การยอมรับและเป็นภาพสะท้อนของสังคมที่ก้าวหน้ามากขึ้น การให้ความสำคัญและพื้นที่ให้ตัวละคร LGBTQ+ เหล่านี้มีบทบาทที่สมจริงและมีคุณค่าช่วยส่งเสริมให้เกิดการยอมรับในสังคม ช่วยเปิดมุมมองของคนดูให้กว้างขึ้นและสร้างความเข้าใจว่า LGBTQ+ ควรได้รับการยอมรับและถูกนำเสนอในเรื่องราวทุกประเภทโดยไม่มีข้อจำกัด
ความรักในเงามืด: ความสัมพันธ์ทางเพศที่แตกต่างในสมัยอยุธยา
เคยสงสัยกันไหมว่าในสมัยอยุธยาที่ดูเคร่งครัดในเรื่องศีลธรรมนั้น มีเรื่องราวความรักที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังอย่างไร? วันนี้เราจะพาคุณย้อนเวลาไปสำรวจความสัมพันธ์ทางเพศที่แตกต่างออกไปในสังคมไทยสมัยก่อน
ความรักที่ต้องปิดบัง
ในยุคที่ศาสนาพุทธมีอิทธิพลอย่างสูงต่อวิถีชีวิตของคนไทย ความสัมพันธ์ทางเพศที่ถือว่าเป็น "ปกติ" คือระหว่างชายหญิงที่แต่งงานกันเท่านั้น การมีความสัมพันธ์เชิงเพศที่แตกต่างออกไป เช่น ระหว่างหญิงกับหญิง หรือชายกับชาย ถือเป็นสิ่งที่ผิดปกติและขัดต่อหลักธรรมคำสอนทางศาสนา
กฎหมายที่เข้มงวด
เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม กฎหมายตราสามดวงจึงมีบทบัญญัติลงโทษผู้ที่กระทำผิดในลักษณะนี้ โดยโทษที่ได้รับอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการกระทำและสถานะทางสังคมของผู้กระทำผิด บางครั้งอาจถูกเฆี่ยนตี กักขัง หรือเนรเทศออกจากชุมชนก็ได้
ทำไมถึงต้องปิดบัง?
ศาสนา: ความเชื่อเรื่องบาปบุญและการเกิดใหม่ทำให้ผู้คนกลัวที่จะกระทำผิด เพราะเชื่อว่าจะนำไปสู่ผลกรรมในชาติหน้า
สังคม: การเปิดเผยความสัมพันธ์ที่แตกต่างออกไป อาจทำให้ถูกสังคมรังเกียจและขับไล่
กฎหมาย: การกระทำผิดกฎหมายอาจนำมาซึ่งโทษทัณฑ์ที่รุนแรง
ความรักที่ไม่มีวันสูญหาย
แม้ว่าในสมัยอยุธยา ความรักที่แตกต่างจะถูกมองว่าเป็นสิ่งผิดบาป แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามนุษย์ทุกคนมีความรักเป็นพื้นฐาน จึงไม่แปลกที่ความสัมพันธ์แบบนี้จะยังคงมีอยู่แม้จะต้องซ่อนเร้น
เรื่องราวความรักในอดีตสอนให้เราเรียนรู้ว่า ความรักเป็นสิ่งที่สวยงาม แต่ก็อาจต้องเผชิญกับอุปสรรคและข้อจำกัดทางสังคมและวัฒนธรรม การที่เราเข้าใจถึงอดีต จะช่วยให้เราเห็นถึงความหลากหลายของความรัก และเรียนรู้ที่จะเคารพในความแตกต่างของแต่ละบุคคล
เพื่อนๆ คิดว่าทำไมความสัมพันธ์ทางเพศที่แตกต่างถึงถูกมองว่าเป็นสิ่งผิดในอดีต?
สังคมไทยในปัจจุบันเปิดใจรับความหลากหลายทางเพศมากขึ้นหรือยัง?
เราควรยอมรับและเคารพในความรักทุกประเภทหรือไม่?
#ประวัติศาสตร์ #ความรัก #LGBTQ+ #สมัยอยุธยา
#บทความให้ความรู้ #บทความน่าสนใจ #เรื่องเล่าจากอดีต