เทคนิคการกินเพื่อช่วยคุมความดันโลหิต
การควบคุมความดันโลหิตสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคด้วยอาหาร ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยควบคุมความดันโลหิต สามารถปฏิบัติตามแนวทางการบริโภคอาหารเพื่อช่วยควบคุมความดันโลหิต หรือ Dietary Approaches to Stop Hypertension (DASH) ร่วมกับการจำกัดโซเดียมในอาหาร มีแนวทางปฏิบัติดังนี้
1.จำกัดปริมาณโซเดียมในอาหาร
ในอาหารตามธรรมชาติจะมีโซเดียมอยู่ในปริมาณน้อย แต่อาหารแปรรูป สำเร็จรูป เบเกอรี่ เครื่องปรุงต่าง ๆ จะมีโซเดียมปริมาณมาก ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงไม่ควรได้รับโซเดียมเกิน 2400 มิลลิกรัมต่อวัน แนะนำให้หลีกเลี่ยงการปรุงอาหารด้วยเครื่องปรุงรสเค็ม เลี่ยงอาหารแปรรูป การใช้ผงปรุงรส อาหารรสจัด
2.รับประทานข้าว ธัญพืชไม่ขัดสี
ปริมาณที่แนะนำคือ 6 – 8 ส่วน/วัน เช่น ข้าวกล้อง 6 – 8 ทัพพี เลือกแบบไม่ขัดสีเพื่อเพิ่มใยอาหาร ซึ่งใยอาหารจะช่วยลดการดูดซึมไขมันเข้าสู่กระแสเลือด จึงช่วยควบคุมไขมันในเลือด นอกจากนี้ใยอาหารยังช่วยให้อาหารอยู่ท้องได้นาน ทำให้ไม่หิวบ่อย ช่วยควบคุมน้ำหนักตัวได้
3.เพิ่มผักในอาหารทุกมื้อ
ปริมาณแนะนำ 4 – 5 ส่วน/วัน เช่น ผักสด 4 – 5 ถ้วยตวง ในผักอุดมไปด้วยโพแทสเซียม แมกนีเซียม เป็นแร่ธาตุที่มีผลช่วยควบคุมความดันโลหิต ควรเลือกผักให้หลากสีและหลากชนิด
กระเจี๊ยบแดง ผลวิจัยพบว่ากระเจี๊ยบแดงสามารถช่วยลด โรคความดันโลหิต ได้ เนื่องจากมีสารแอนโทไซยานินที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เสริมสร้างความแข็งแรงให้กับหลอดเลือด
ขึ้นฉ่าย มีการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาพบว่าขึ้นฉ่ายมีฤทธิ์ลดความดันโลหิต ขับปัสสาวะ ลดบวม ควบคุมน้ำตาล ลดไขมัน ต้านการอักเสบ
กระเทียม กระเทียมเป็นพืชผักสวนครัวที่ต้องมีติดครัวกันทุกบ้าน นอกจากรสเผ็ดร้อนที่ช่วยเสริมรสชาติอาหารแล้ว ในกระเทียมยังมีสารเคมีที่สำคัญก็คือ Allicin ที่ช่วยลดความดันโลหิต ไขมันในเลือด
ตะไคร้ ด้วยสรรพคุณที่หลากหลายทั้งช่วยในเรื่องการขับปัสสาวะ ขับลม ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย มีส่วนช่วยในเรื่องของการลดความดันโลหิตสูงได้ดีทีเดียว
4.รับประทานผลไม้
ปริมาณแนะนำ 4 – 5 ส่วน/วัน ผลไม้ 6 – 8 ชิ้นคำ หรือ ผลเท่ากำปั้น 1 ผล เท่ากับ 1 ส่วน ผลไม้อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ โพแทสเซียม แมกนีเซียม เลือกผลไม้ที่ไม่ผ่านการปรุงแต่งเป็นหลัก หลีกเลี่ยงผลไม้กระป๋อง และ แปรรูป
5.รับประทานเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ
จะช่วยลดปริมาณไขมันอิ่มตัว และ คอเลสเตอรอล จะพบมากในไขมันจากสัตว์ ไขมันเหล่านี้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดมากขึ้นได้ ส่งผลต่อการเพิ่มความดันโลหิต ปริมาณแนะนำ 6 ส่วน/วัน เช่น เนื้อสัตว์ 12 ช้อนโต๊ะ/วันเช่น เนื้อแดงที่ไม่ติดมัน หรือ ไม่ติดหนังเพื่อลดการบริโภคไขมัน เพิ่มการรับประทานเนื้อปลาเพื่อให้ได้รับโอเมก้า 3 ช่วยในการลดระดับไตรกลีเซอไรด์ ป้องกันการอักเสบ มีส่วนช่วยในการบำรุงหลอดเลือด
6.รับประทานถั่วเปลือกแข็งและถั่วเมล็ดแห้ง
ปริมาณแนะนำ 4 – 5 ส่วน/สัปดาห์ ประมาณ 4 – 5 กำมือ/สัปดาห์ เช่น อัลมอนด์ ถั่วลิสง เป็นต้น เนื่องจากถั่วมีแร่ธาตุโพแทสเซียม แมกนีเซียมสูง ใยอาหาร ทั้งนี้ถั่วมีปริมาณไขมันสูง แม้ว่าไขมันจากถั่วจะเป็นไขมันที่ดี แต่หากรับประทานมากเกินไปอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้
7.จำกัดไขมันในอาหาร
2 – 3 ส่วน/วัน น้ำมัน 2 – 3 ช้อนชา เนื่องจากไขมันส่งผลต่อการเพิ่มความดันโลหิตได้ วิธีการเลี่ยงไขมันคือ เลือกเมนูอาหารที่ปรุงด้วยวิธีที่ไม่ใช้น้ำมัน เช่น การต้ม นึ่ง อบ เลี่ยงอาหารทอด อาหารใส่กะทิ เลือกใช้น้ำมันที่มีไขมันไม่อิ่มตัวสูง เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วลิสง น้ำมันดอกทานตะวัน
8.ดื่มนมไขมันต่ำ
นมเป็นอาหารที่มีแคลเซียมสูง ช่วยในการควบคุมความดันโลหิตได้ นอกจากนี้แคลเซียมจากนมยังสามารถดูดซึมไปใช้ได้ดี ปริมาณแนะนำคือ 2 – 3 ส่วน/วัน เช่น นม 2 – 3 แก้ว/วัน ควรเลือกนมรสจืดเพื่อหลีกเลี่ยงการได้รับปริมาณน้ำตาลมากเกินไป
อาหารเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ช่วยในเรื่องของ โรคความดันโลหิตสูง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมชีวิต หมายถึง การเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตประจำวันไปสู่การบริโภคอาหารตามหลักโภชนาการ มีกิจกรรมทางกายที่เหมาะสม ร่วมกับพฤติกรรมสุขภาพที่ดี เช่น
1.งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
2.การหยุดบุหรี่ แม้การเลิกบุหรี่อาจไม่มีผลต่อการลดความดันโลหิตโดยตรง แต่สามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ และ หลอดเลือดได้
3.การลดความเครียด รวมถึงการผ่อนคลายความเครียด ลดความวิตกกังวล
4.ออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน หรือ ในแต่ละวันอาจจะแบ่งออกกำลังเป็นช่วงสั้น ๆ ครั้งละ 10 นาที วันละ 3 ครั้ง
ในกรณีที่ผู้ป่วยต้องใช้ยาความดันโลหิตร่วมด้วย การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจะทำให้ประสิทธิภาพการรักษาด้วยยาสูงขึ้น