พึ่งบารมีความเป็นมนุษย์ของตัวเอง
สวดมนต์ให้หายทุกข์ทางใจเผื่อแผ่สุขให้มนุษย์และเทวดาไม่เลือกหน้า
เทวดาอนุโมทนาบุญกับมนุษย์มีจริง
เพราะในสภาพอันเป็นทิพย์
พวกท่านมีทุกสิ่ง
อยากได้อะไรไม่ต้องใช้กำลังใจ
ขณะที่มนุษย์นั้น
จะทำอะไรดีๆแต่ละที
ต้องใช้กำลังกายกำลังใจ สวนกระแสกิเลส
พุทธเราสอนให้เป็นที่พึ่งของตัวเอง
ไม่ใช่ให้สวดแบบอ้อนวอนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ให้มาช่วยเหลือ
กำลังกายกำลังใจพึ่งตัวเองนั่นแหละ
คือพลังบุญ พลังบารมีความเป็นมนุษย์
ยิ่งพลังบุญมาก
เทวดายิ่งอนุโมทนามาก
และยิ่งบุญนั้น
เป็นไปในทางพ้นทุกข์ พ้นอุปาทาน
พลังบุญนั้นยิ่งสว่าง
ยิ่งจับใจเทพยดาผู้เป็นสัมมาทิฏฐิ
เรียกเทพยดาผู้เป็นสัมมาทิฏฐิ
มาอนุโมทนาได้มหาศาล
และเมื่อพวกท่านมาอนุโมทนาบ่อยๆ
ก็ย่อมเกิดความผูกพัน
อยากช่วยเหลือ อยากอำนวยสุขให้เอง
โดยไม่ต้องร้องขอ
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
สมัยพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์
แม้เมื่อเหล่าภิกษุปฏิบัติธรรมอยู่ในป่า
เจอผีเจอสางดุๆกันถ้วนหน้า
พระพุทธเจ้าก็ทรงให้สาธยายมนต์
ในแบบที่ไม่ใช่ไปรบกับผี ไม่ใช่ไปปราบผี
ไม่ใช่ไปอวดฤทธิ์อวดศักดาว่า
ข้าเป็นสาวกพระพุทธเจ้า
แต่เป็นการสาธยาย
ในแบบให้ทบทวนตนเองว่า
มีคุณสมบัติดีๆ
ที่ทำให้ผีรักอยู่บ้างหรือยัง
ซึ่งก็ล้วนเป็นไปในทางอ่อนน้อมถ่อมตน
รู้หน้าที่ของ ‘ผู้มีแต่ให้’ ทั้งสิ้น
(มนต์ที่พระพุทธเจ้าประทานแก่ภิกษุดังกล่าว
ปัจจุบันเรารู้จักกันในชื่อ กรณียเมตตสูตร)
สวดแบบพุทธ
จึงเป็นการสวดแบบให้
ไม่ใช่สวดแบบขอ
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
สรุปคือ หากใจเป็นทุกข์
สวดมนต์ให้หายทุกข์ทางใจเลย
พึ่งบารมีความเป็นมนุษย์ของตัวเองเลย
อย่ารอผลทางกายที่จะมีผู้อื่นบันดาลให้ก่อน
ถ้ายิ่งระหว่างสวดมนต์ แล้วเกิดสติ
ระลึกรู้ความไม่เที่ยงในกายใจได้
แผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศลถวายเทพยดาได้
ก็จะยิ่งซึ้งใจว่า
พุทธเราสอนให้เป็นที่พึ่งของตัวเองอย่างไร
ภพภูมิมนุษย์เป็นภาวะแข็งแกร่ง
กว่าภพภูมิอื่นๆได้ท่าไหน
ต่อไปสำรวจใจตัวเองได้
ตั้งแต่เข้าห้องพระสวดมนต์เลย
ตั้งใจสวดแบบขอ
หรือเจตนาสวดแบบให้
สวดแล้วเป็นเหตุให้อ่อนแอ ชอบคร่ำครวญ
หรือเป็นเหตุให้เข้มแข็ง
ชอบเผื่อแผ่สุขให้มนุษย์และเทวดาไม่เลือกหน้า!