วังวนแห่งความตาย
นภดลเติบโตมาในครอบครัวที่มีฐานะปานกลางในย่านชานเมืองของกรุงเทพฯ เขาเป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว พ่อของเขาเป็นครูโรงเรียนมัธยม ส่วนแม่เป็นพยาบาล ชีวิตในวัยเด็กของนภดลเต็มไปด้วยความอบอุ่นและความคาดหวัง พ่อแม่ของเขาทุ่มเทเวลาและทรัพยากรที่มีทั้งหมดเพื่อให้เขาได้รับการศึกษาที่ดีที่สุด
ตั้งแต่เด็ก นภดลแสดงให้เห็นถึงความฉลาดและความสามารถในการเรียนรู้ที่รวดเร็ว เขาชนะการแข่งขันคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์หลายครั้ง สร้างความภาคภูมิใจให้กับพ่อแม่และครูที่โรงเรียน ทุกคนคาดหวังว่าเขาจะประสบความสำเร็จในอนาคต
เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น นภดลเริ่มรู้สึกถึงแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ความคาดหวังจากครอบครัวและสังคมรอบข้างทำให้เขารู้สึกอึดอัด แต่เขาก็พยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อไม่ให้ทุกคนผิดหวัง เขาเรียนหนักและสอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศได้ในคณะวิศวกรรมศาสตร์
ชีวิตในมหาวิทยาลัยเปิดโลกใหม่ให้กับนภดล เขาได้พบเพื่อนใหม่ ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และเริ่มค้นพบตัวเองมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ความกดดันก็ยิ่งทวีคูณ การแข่งขันในคณะวิศวกรรมศาสตร์นั้นดุเดือด และนภดลพบว่าตัวเองต้องทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับการเรียน จนแทบไม่มีเวลาพักผ่อนหรือทำกิจกรรมอื่น ๆ
ในช่วงปีที่สองของการเรียน นภดลเริ่มมีอาการของโรคซึมเศร้า เขารู้สึกเหนื่อยล้า นอนไม่หลับ และบางครั้งก็รู้สึกสิ้นหวังโดยไม่มีเหตุผล แต่เขาก็พยายามปิดบังอาการเหล่านี้ไว้ ไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขากำลังมีปัญหา
ความสัมพันธ์กับเพื่อน ๆ เริ่มห่างเหิน นภดลมักจะปฏิเสธคำชวนให้ออกไปสังสรรค์หรือทำกิจกรรมนอกเวลาเรียน เขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้องพัก จมอยู่กับตำราเรียนและความคิดที่วนเวียนไม่จบสิ้น
ในช่วงปีสุดท้ายของการเรียน นภดลพบว่าตัวเองกำลังจะจบการศึกษาด้วยเกรดเฉลี่ยที่ไม่สูงอย่างที่คาดหวังไว้ ความรู้สึกล้มเหลวและไร้ค่าเริ่มครอบงำจิตใจของเขา เขาคิดว่าตัวเองทำให้พ่อแม่และทุกคนที่เคยคาดหวังในตัวเขาผิดหวัง
หลังจากจบการศึกษา นภดลได้งานในบริษัทวิศวกรรมขนาดกลางแห่งหนึ่ง แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าชีวิตไม่มีความหมาย การทำงานกลายเป็นเพียงกิจวัตรที่น่าเบื่อหน่าย เขาไม่มีความสุขกับสิ่งที่ทำ และรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่าพอที่จะอยู่ในตำแหน่งนี้
ความสัมพันธ์กับครอบครัวก็เริ่มมีปัญหา นภดลรู้สึกว่าเขาไม่สามารถพูดคุยกับพ่อแม่ได้อย่างเปิดอก เขากลัวว่าพวกเขาจะผิดหวังถ้ารู้ว่าลูกชายกำลังทุกข์ทรมานกับโรคซึมเศร้า ความห่างเหินระหว่างเขากับครอบครัวยิ่งทำให้เขารู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้น
วันหนึ่ง หลังจากการทำงานที่เครียดและเหนื่อยล้า นภดลกลับมาที่อะพาร์ตเมนต์ของเขา เขานั่งลงที่โต๊ะทำงาน มองดูรูปถ่ายครอบครัวที่ถ่ายกันตอนเขาเรียนจบ ใบหน้ายิ้มแย้มของพ่อแม่ในภาพทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดในใจ เขารู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรกับความรักและความภาคภูมิใจนั้น
นภดลเปิดลิ้นชักโต๊ะ หยิบขวดยานอนหลับที่เขาได้รับจากแพทย์มาสักพักแล้ว เขามองดูขวดยาอยู่นาน ความคิดที่จะจบชีวิตตัวเองเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ เขาคิดว่านี่อาจเป็นทางออกเดียวที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานทั้งหมด
แต่ก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไป นภดลตัดสินใจเดินออกจากอะพาร์ตเมนต์ เขาเดินไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีจุดหมาย จนกระทั่งมาถึงสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา เขายืนนิ่งอยู่บนสะพาน มองดูกระแสน้ำที่ไหลเอื่อยอยู่เบื้องล่าง
แสงสุดท้ายของวันกำลังจะมอดดับ ทิ้งเพียงเงาสลัวบนผิวน้ำ นภดลรู้สึกถึงแรงดึงดูดบางอย่างจากสายน้ำเบื้องล่าง ราวกับว่ามันกำลังเรียกร้องให้เขาก้าวเข้าไปหา
เขาปีนข้ามราวกั้น ยืนอยู่บนขอบสะพาน ลมหนาวพัดแรงจนเสื้อผ้าสะบัดพลิ้ว แต่เขากลับรู้สึกชาด้านไปหมด ภาพความทรงจำต่าง ๆ วูบผ่านเข้ามาในหัว ทั้งช่วงเวลาแห่งความสุขในวัยเด็ก ความภาคภูมิใจเมื่อครั้งประสบความสำเร็จ และความทุกข์ทรมานที่เขาเก็บซ่อนไว้มานาน
นภดลหลับตาลง สูดหายใจลึกเฮือกใหญ่ แล้วก้าวออกไปในอากาศ
ร่างกระแทกผิวน้ำอย่างรุนแรง ความเย็นเฉียบแล่นปราดเข้าสู่กระดูก น้ำเข้าปอดอย่างรวดเร็ว ความมืดค่อย ๆ กลืนกินการรับรู้...
แล้วทุกอย่างก็ดับวูบลง
...
ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง แสงสลัวของดวงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าทอประกายวิบวับบนผิวน้ำ นภดลยืนนิ่งงันบนสะพาน สับสนงุนงง เขาเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ... 18:37 น.
เหมือนเดิมทุกประการ
หัวใจเต้นระรัว ความหวาดกลัวแล่นปราดเข้าสู่จิตใจ นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมเขาถึงกลับมาอยู่ตรงนี้อีก?
เขาพยายามสงบสติอารมณ์ ค่อย ๆ เดินลงจากสะพาน มุ่งหน้ากลับบ้าน ทุกย่างก้าวรู้สึกหนักอึ้ง ราวกับโลกทั้งใบกำลังทับถมลงมา
เปิดประตูบ้านเข้าไป ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม... จานชามที่แตกกระจาย กรอบรูปที่ล้มคว่ำ กลิ่นเหล้าที่คละคลุ้ง ความทรงจำเลวร้ายถาโถมเข้ามาอีกครั้ง
เขาทรุดตัวลงกับพื้น น้ำตาไหลรินอาบแก้ม เสียงสะอื้นไห้ดังก้องไปทั่วบ้าน ทำไม... ทำไมเขาถึงต้องกลับมาเผชิญความเจ็บปวดนี้อีก
คืนนั้นผ่านไปอย่างทรมาน เขานอนกลิ้งเกลือกบนเตียง พยายามหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ไม่เจออะไรเลย
รุ่งเช้า เขาตื่นขึ้นมาด้วยความสับสน พยายามดำเนินชีวิตตามปกติ แต่ทุกอย่างดูแปลกประหลาดไปหมด ผู้คนรอบข้างเหมือนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่มีใครจำได้ว่าเมื่อวานเขาได้ฆ่าตัวตาย
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทุกวินาทีเหมือนนานเป็นชั่วโมง เขารอคอยให้ถึงเวลา 18:37 น. ด้วยความหวาดกลัวระคนสงสัย
และแล้วช่วงเวลานั้นก็มาถึง...
เขายืนอยู่บนสะพานอีกครั้ง มองดูแสงสุดท้ายของวันที่กำลังจะลับขอบฟ้า ทุกอย่างเหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน ความสิ้นหวังเข้าครอบงำ น้ำตาเอ่อล้นออกมา
ครั้งนี้เขาตัดสินใจไม่กระโดด พยายามฝืนใจเดินกลับบ้าน แต่ร่างกายกลับไม่ยอมขยับ มันเหมือนมีแรงบางอย่างดึงดูดให้เขาก้าวไปข้างหน้า
ไม่ว่าจะพยายามต้านทานแค่ไหน สุดท้ายเขาก็ต้องปีนข้ามราวกั้น ยืนอยู่บนขอบสะพาน หัวใจเต้นรัวด้วยความกลัว แต่ร่างกายกลับเคลื่อนไหวโดยอัตโนมัติ
ก้าวออกไปในอากาศ... ร่างกระแทกผิวน้ำ... ความมืดมิดกลืนกิน...
...
ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง บนสะพานเดิม เวลาเดิม
วงจรอุบาทว์นี้ดำเนินต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด วันแล้ววันเล่า สัปดาห์แล้วสัปดาห์เล่า เดือนแล้วเดือนเล่า
เขาพยายามทุกวิถีทางเพื่อหลีกหนีชะตากรรมนี้ ทั้งหนีออกจากเมือง ขอความช่วยเหลือจากคนอื่น แม้กระทั่งพยายามทำร้ายตัวเองก่อนถึงเวลา 18:37 น. แต่ทุกครั้งเขาก็กลับมายืนอยู่บนสะพานเดิมในเวลาเดิมเสมอ
บางวันเขาพยายามต่อสู้ ไม่ยอมก้าวออกไปจากสะพาน แต่ร่างกายกลับขยับเองโดยอัตโนมัติ ราวกับมีพลังลึกลับบังคับ ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องจบลงด้วยการจมน้ำตาย
บางวันเขายอมจำนน ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามวิถีที่ควรจะเป็น หวังว่าการยอมรับชะตากรรมอาจทำให้ทุกอย่างจบลงเสียที แต่มันก็ไม่เคยจบ
ความทรมานทางจิตใจรุนแรงยิ่งกว่าความเจ็บปวดทางร่างกาย การต้องเผชิญกับความตายซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะสิ้นสุด มันบั่นทอนจิตวิญญาณอย่างช้า ๆ
เขาพยายามหาเหตุผล ทำไมถึงต้องเป็นเขา ทำไมต้องเป็นแบบนี้ นี่เป็นการลงโทษหรือเปล่า? หรือว่านี่คือนรกบนดิน?
แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไร คำถามเหล่านั้นก็ไม่เคยได้รับคำตอบ มีเพียงความเงียบงันที่ตอบกลับมา
วันเวลาผ่านไป เขาเริ่มสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง ความทรงจำเลือนรางลง อดีตกับปัจจุบันปะปนกันไปหมด บางครั้งเขาแทบจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร
โลกรอบตัวกลายเป็นภาพลวงตา ทุกอย่างดูไม่จริง เหมือนฝันร้ายที่ไม่มีวันตื่น เขาเริ่มสงสัยว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่จริง ๆ หรือเปล่า หรือว่านี่คือความตายที่แท้จริง การติดอยู่ในห้วงเวลาเดิม ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด
บางครั้งเขารู้สึกอิจฉาคนอื่นที่สามารถใช้ชีวิตปกติ มีความสุข ความทุกข์ ได้เติบโตและเปลี่ยนแปลง ในขณะที่เขาติดอยู่กับช่วงเวลาเดียวซ้ำไปซ้ำมา
เขาเฝ้ามองดูโลกเปลี่ยนแปลงรอบตัว ฤดูกาลผ่านไป ผู้คนแก่ตัวลง เด็ก ๆ เติบโตขึ้น แต่เขายังคงเป็นเหมือนเดิม ติดอยู่ในวังวนแห่งความตาย
บางครั้งเขาพยายามทำความเข้าใจสถานการณ์ของตัวเอง คิดว่าอาจเป็นเพราะเขายังไม่พร้อมที่จะตาย ยังมีเรื่องค้างคาใจที่ต้องแก้ไข หรือบางทีอาจเป็นโอกาสให้เขาได้ไตร่ตรองชีวิตที่ผ่านมา
เขาพยายามนึกถึงคนที่เคยทำร้าย พยายามให้อภัยพวกเขาในใจ นึกถึงความผิดพลาดในอดีต และพยายามปล่อยวาง แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร วงจรอุบาทว์ก็ยังคงดำเนินต่อไป
ความหวังที่จะหลุดพ้นค่อย ๆ จางหายไป แทนที่ด้วยความว่างเปล่าและความเฉยชา เขาเริ่มยอมรับชะตากรรม ไม่ต่อสู้ขัดขืนอีกต่อไป ปล่อยให้ร่างกายเคลื่อนไหวไปตามแรงขับเคลื่อนลึกลับนั้น
แต่ละวันผ่านไปเหมือนภาพซ้ำ ๆ ในหนังที่เล่นวนไปวนมา เขายืนบนสะพาน มองดูแสงสุดท้ายของวัน ก้าวออกไปในอากาศ จมดิ่งสู่ความมืด แล้วก็กลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
บางครั้งเขาแทบไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดของการจมน้ำอีกต่อไป มันกลายเป็นเพียงความรู้สึกชาด้านที่คุ้นเคย เหมือนการหลับตาแล้วลืมขึ้นมาใหม่
โลกรอบตัวเริ่มเลือนรางลงทุกที เสียงผู้คน กลิ่นอายของเมือง สัมผัสของสายลม ทุกอย่างดูจืดจางและไร้ความหมาย มีเพียงภาพของสะพานและสายน้ำเบื้องล่างที่ยังคงชัดเจนในความทรงจำ
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เขาไม่อาจบอกได้ อาจเป็นเดือน เป็นปี หรือเป็นศตวรรษ ทุกอย่างปะปนกันไปหมด ความทรงจำเกี่ยวกับชีวิตก่อนหน้านี้เลือนหายไปทีละน้อย เหลือเพียงความว่างเปล่าและความเวิ้งว้าง
แต่แล้ววันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังยืนอยู่บนสะพานเช่นเคย มีบางอย่างแตกต่างออกไป เขารู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในอากาศ กลิ่นแปลกประหลาดที่ไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน
เขาหันไปมองรอบตัว และสังเกตเห็นร่างของหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกล เธอสวมชุดสีขาวบริสุทธิ์ ผมยาวสยายไหวตามสายลม ดวงตาของเธอจ้องมองมาที่เขาอย่างเศร้าสร้อย
หัวใจของเขาเต้นรัว ความรู้สึกที่เขาลืมเลือนไปนานแล้วกลับมาอีกครั้ง ความตื่นเต้น ความสงสัย ความหวัง ทุกอย่างถาโถมเข้ามาพร้อมกัน
เขาพยายามเอ่ยปากพูด แต่เสียงกลับไม่ออก ริมฝีปากขยับแต่ไร้เสียงใด ๆ ดังออกมา เขาพยายามขยับเข้าไปหาหญิงสาว แต่ร่างกายกลับไม่ยอมขยับตาม
หญิงสาวค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้ เธอยื่นมือออกมาแตะที่ใบหน้าของเขาเบา ๆ สัมผัสอุ่น ๆ นั้นทำให้เขารู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง น้ำตาเอ่อล้นออกมาโดยไม่รู้ตัว
"เธอติดอยู่ที่นี่มานานแล้วใช่ไหม" เสียงของเธอแผ่วเบาราวกับสายลม
เขาพยักหน้า รู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านจากมือของเธอ
"ฉันรู้ว่าเธอเจ็บปวด" เธอกล่าวต่อ "แต่ถึงเวลาแล้วที่เธอต้องปล่อยวาง"
คำพูดของเธอทำให้เขาสั่นสะท้าน ความกลัวและความสิ้นหวังที่สั่งสมมานานปะทุขึ้นมาอีกครั้ง เขาส่ายหน้าอย่างรุนแรง น้ำตาไหลพราก
"ไม่ต้องกลัว" เธอกระซิบ "ฉันจะอยู่กับเธอ"
มือของเธอจับมือเขาไว้แน่น ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง เขารู้สึกถึงพลังบางอย่างที่เคลื่อนไหวผ่านตัวเขา ราวกับสายธารแห่งแสงสว่างที่ไหลผ่านความมืดมิด
ภาพความทรงจำต่าง ๆ ผุดขึ้นมาในหัว... วัยเด็กที่มีความสุข... ความรักครั้งแรก... ความสำเร็จในหน้าที่การงาน... แต่ก็มีภาพของความเจ็บปวด การสูญเสีย ความผิดหวัง ปะปนกันไป
เขารู้สึกถึงน้ำหนักมหาศาลที่กดทับอยู่บนบ่าค่อย ๆ เบาบางลง ความเจ็บปวดที่ฝังลึกในหัวใจเริ่มจางหาย แทนที่ด้วยความรู้สึกโล่งอก และการยอมรับ
"พร้อมไหม" เธอถามเบา ๆ
เขามองลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ เห็นความเมตตาและความเข้าใจที่ส่องประกาย แล้วเขาก็พยักหน้าช้า ๆ
ทั้งสองก้าวไปด้วยกันสู่ขอบสะพาน มือยังคงกุมกันไว้แน่น เขารู้สึกถึงแรงดึงดูดของสายน้ำเบื้องล่าง แต่ครั้งนี้มันไม่ได้น่ากลัวอีกต่อไป
"นับหนึ่งถึงสาม" เธอกระซิบ
"หนึ่ง..." เสียงของเขาแหบพร่า หลังจากไม่ได้พูดมานาน
"สอง..." เธอนับต่อ รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏบนใบหน้า
"สาม" ทั้งสองเอ่ยพร้อมกัน
พวกเขาก้าวออกไปพร้อมกัน ร่างลอยล่องอยู่ในอากาศชั่วขณะ ก่อนจะดิ่งลงสู่สายน้ำเบื้องล่าง
แต่คราวนี้ ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความหนาวเหน็บ ไม่มีความมืดมิดที่กลืนกิน มีเพียงความรู้สึกเบาสบาย ราวกับล่องลอยอยู่ในอากาศ
แสงสว่างจ้าวาบขึ้น เขารู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในตัว ราวกับว่าร่างกายกำลังละลาย กลายเป็นหนึ่งเดียวกับแสงนั้น
ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นคือรอยยิ้มของหญิงสาว ก่อนที่ทุกอย่างจะจางหายไปในความสว่าง
...
เสียงนกร้องปลุกเขาให้ตื่นขึ้น แสงแดดอ่อน ๆ ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา นภดลลืมตาขึ้นช้า ๆ มองไปรอบห้องด้วยความงุนงง
นี่ไม่ใช่สะพาน ไม่ใช่สายน้ำ แต่เป็นห้องนอนของเขาเอง
เขาลุกขึ้นนั่ง สำรวจร่างกายตัวเอง ทุกอย่างดูเป็นปกติ ไม่มีร่องรอยของการจมน้ำ ไม่มีความเจ็บปวด
นาฬิกาบนผนังบอกเวลา 7:15 น.
หัวใจเต้นแรง เขารีบคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู วันที่บนหน้าจอทำให้เขาตกใจ... มันเป็นวันถัดจากวันที่เขาตัดสินใจฆ่าตัวตาย
ความสับสนและความไม่เชื่อท่วมท้นหัวใจ นี่เป็นความฝันหรือ? หรือว่าทุกอย่างที่ผ่านมาเป็นแค่ภาพหลอน?
เขาลุกขึ้นยืน เดินไปที่หน้าต่าง เปิดออกรับลมเช้า สูดหายใจลึก ๆ รู้สึกถึงความสดชื่นของอากาศที่ไม่ได้สัมผัสมานาน
โลกภายนอกดูมีชีวิตชีวา ผู้คนเดินไปมา รถราวิ่งขวักไขว่ นกบินร่อนอยู่บนท้องฟ้า ทุกอย่างดูสดใสและมีความหมายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่ครั้งนี้เป็นน้ำตาแห่งความโล่งอกและความปีติ
เขาหันกลับมามองห้อง สายตาเหลือบไปเห็นภาพถ่ายบนโต๊ะ ภาพของเขากับครอบครัว กับเพื่อน ๆ ภาพแห่งความทรงจำที่เคยลืมเลือนไป
ความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านในอก เขารู้ว่าได้รับโอกาสครั้งใหม่ โอกาสที่จะเริ่มต้นอีกครั้ง โอกาสที่จะแก้ไขความผิดพลาดในอดีต
เขานั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือ หยิบปากกาและกระดาษขึ้นมา เริ่มเขียนข้อความ
"ถึงตัวฉันในอนาคต,
ถ้าวันไหนรู้สึกท้อแท้ สิ้นหวัง และคิดจะยอมแพ้ ให้อ่านจดหมายนี้
ชีวิตอาจจะยาก อาจจะเจ็บปวด แต่มันก็มีความงดงาม มีความหวัง และมีโอกาสเสมอ
จงจำไว้ว่าทุกวินาทีมีค่า อย่าติดอยู่กับอดีต อย่ากลัวอนาคต จงมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน
และที่สำคัญที่สุด อย่าลืมว่าเธอไม่ได้อยู่คนเดียว มีคนที่รักและห่วงใยเธออยู่เสมอ
จงใช้ชีวิตให้คุ้มค่า เพราะมันมีค่ามากกว่าที่เธอคิด
ด้วยรักจากตัวเธอเอง"
เขาพับจดหมาย เก็บไว้ในลิ้นชัก แล้วลุกขึ้นยืน สูดหายใจลึก ๆ
วันใหม่กำลังจะเริ่มต้น และเขาพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
นภดลเดินออกจากห้อง ออกไปสู่โลกภายนอก ด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังและความกล้าหาญ
บทเรียนจากวังวนแห่งความตายจะอยู่กับเขาไปตลอดกาล เตือนใจให้เห็นคุณค่าของทุกลมหายใจ ทุกวินาที และทุกโอกาสที่ชีวิตมอบให้ แม้จะไม่รู้เลยว่าวังวนนั้นมันเกิดขึ้นจริง หรือเป็นแค่ความฝันแต่เขาก็ไม่สนใจอีกต่อไป
วันนี้... เท่านั้นที่เขาสนใจ
วันนี้... ที่จะดำเนินชีวิตให้ดีที่สุด