มะเร็งเกิดขึ้นได้ยังไง?
มะเร็ง (Cancer) คือกลุ่มของโรคที่เกิดขึ้นจากการเจริญเติบโตผิดปกติของเซลล์ในร่างกาย ซึ่งเซลล์เหล่านี้สามารถเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและไม่สามารถควบคุมได้ ส่งผลให้เกิดก้อนเนื้อ (tumor) หรือการแพร่กระจายของเซลล์ไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย (metastasis) มะเร็งมีหลายประเภทขึ้นอยู่กับบริเวณที่เซลล์ผิดปกติเริ่มต้นขึ้น เช่น มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ มะเร็งตับ และอื่น ๆ
สาเหตุของมะเร็ง
การเกิดมะเร็งสามารถมาจากหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยภายในร่างกาย เช่น ความผิดปกติของยีน และปัจจัยภายนอกที่กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม ปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็งได้แก่
1. การกลายพันธุ์ทางพันธุกรรม (Genetic Mutations)
มะเร็งเกิดขึ้นจากการกลายพันธุ์ของยีนที่ทำหน้าที่ควบคุมการเจริญเติบโตและการแบ่งตัวของเซลล์ ยีนที่ได้รับผลกระทบได้แก่:
ยีนที่ก่อให้เกิดมะเร็ง (Oncogenes): ยีนประเภทนี้เมื่อเกิดการกลายพันธุ์จะทำให้เซลล์เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วเกินไปจนไม่สามารถควบคุมได้
ยีนยับยั้งมะเร็ง (Tumor Suppressor Genes): ยีนที่ทำหน้าที่ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์ เมื่อยีนนี้เสียหายหรือทำงานผิดปกติ เซลล์จะไม่สามารถหยุดการแบ่งตัวได้
ยีนซ่อมแซม DNA (DNA Repair Genes): ยีนที่มีหน้าที่ซ่อมแซมข้อผิดพลาดใน DNA เมื่อยีนเหล่านี้ผิดปกติ ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นใน DNA จะไม่ได้รับการซ่อมแซม ทำให้เกิดการกลายพันธุ์ที่นำไปสู่มะเร็ง
2. ปัจจัยเสี่ยงภายนอก (External Risk Factors)
ปัจจัยจากภายนอกที่สามารถทำให้เกิดมะเร็งได้ประกอบด้วย:
การสัมผัสสารเคมีหรือสารก่อมะเร็ง (Carcinogens): การสัมผัสสารเคมีเช่น แร่ใยหิน (asbestos) สารหนู เบนซิน หรือสารเคมีอื่นๆ ในสิ่งแวดล้อมสามารถทำให้เซลล์เสียหายและเกิดการกลายพันธุ์ นอกจากนี้ การได้รับสารก่อมะเร็งจากการสูบบุหรี่ก็เป็นปัจจัยหลักในการเกิดมะเร็งปอดและมะเร็งอื่น ๆ
รังสีอันตราย (Radiation): รังสีจากแสงแดด (รังสีอัลตราไวโอเลตหรือ UV) รังสีเอกซ์ (X-rays) หรือการได้รับรังสีในการรักษามะเร็งอาจทำให้เซลล์เสียหายและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งผิวหนังและมะเร็งประเภทอื่น ๆ
การติดเชื้อ (Infections): การติดเชื้อบางชนิดเช่น ไวรัสตับอักเสบ (HBV, HCV) และไวรัสมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็ง (HPV) อาจทำให้เซลล์เกิดการกลายพันธุ์ที่นำไปสู่มะเร็ง เช่น มะเร็งตับและมะเร็งปากมดลูก
3. ปัจจัยเสี่ยงจากการใช้ชีวิต (Lifestyle Factors)
ปัจจัยจากการใช้ชีวิตที่สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งได้แก่:
การสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุหลักของมะเร็งปอด และยังเกี่ยวข้องกับมะเร็งปาก คอ หลอดอาหาร และอวัยวะอื่น ๆ
การรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม: อาหารที่มีไขมันสูงและแคลอรี่สูงอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งเต้านม
การดื่มแอลกอฮอล์: การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของมะเร็งตับและมะเร็งช่องปาก
การขาดการออกกำลังกาย: การขาดการเคลื่อนไหวหรือออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งเต้านม
4. ปัจจัยทางพันธุกรรม (Heredity)
บางคนมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งมากขึ้นเนื่องจากยีนที่ได้รับสืบทอดจากพ่อแม่ ทำให้พวกเขามีแนวโน้มที่จะเกิดมะเร็งได้ง่ายขึ้น เช่น ผู้ที่มีการกลายพันธุ์ของยีน BRCA1 และ BRCA2 มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่
กลไกการเกิดมะเร็ง
มะเร็งเกิดขึ้นเมื่อเซลล์ในร่างกายได้รับความเสียหายที่ DNA ทำให้เกิดการกลายพันธุ์ของยีนที่ควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์ โดยปกติแล้ว ร่างกายจะมีกระบวนการซ่อมแซมข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นใน DNA แต่หากกระบวนการนี้ล้มเหลว ข้อผิดพลาดนั้นจะสะสมและทำให้เซลล์กลายเป็นเซลล์มะเร็ง เซลล์มะเร็งจะแบ่งตัวอย่างรวดเร็วและหลีกเลี่ยงกระบวนการที่ทำให้เซลล์ตายตามธรรมชาติ (apoptosis) จึงทำให้เกิดการเติบโตที่ไม่สามารถควบคุมได้
ชนิดของมะเร็ง
มะเร็งสามารถแบ่งออกเป็นหลายชนิดขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เกิดเซลล์มะเร็ง และชนิดของเซลล์ที่เกี่ยวข้อง ตัวอย่างเช่น:
1. คาร์ซิโนมา (Carcinoma): มะเร็งชนิดนี้เกิดขึ้นที่เซลล์เยื่อบุหรือเซลล์ต่อม เช่น มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้
2. ซาร์โคมา (Sarcoma): เกิดจากเซลล์ของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เช่น กระดูก กล้ามเนื้อ และไขมัน
3. มะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia): เกิดขึ้นในเซลล์เม็ดเลือดและไขกระดูก ทำให้ร่างกายไม่สามารถผลิตเซลล์เม็ดเลือดที่สมบูรณ์ได้
4. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphoma): เกิดในระบบน้ำเหลือง ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมภูมิคุ้มกันของร่างกาย
การวินิจฉัยและการรักษามะเร็ง
1. การวินิจฉัย
การตรวจหามะเร็งมีหลากหลายวิธี ได้แก่ การตรวจภาพถ่ายรังสี (X-ray), การส่องกล้อง (Endoscopy), การตรวจเลือด หรือการตรวจชิ้นเนื้อ (Biopsy) เพื่อตรวจสอบว่าเซลล์มีการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งหรือไม่ การตรวจอย่างละเอียดจะช่วยให้แพทย์ทราบถึงระยะของมะเร็งและแนวทางการรักษาที่เหมาะสม
2. การรักษา
การรักษามะเร็งขึ้นอยู่กับชนิดและระยะของมะเร็ง รวมถึงสภาพร่างกายของผู้ป่วย วิธีการรักษามะเร็งที่ใช้บ่อยได้แก่:
การผ่าตัด (Surgery): การผ่าตัดเพื่อเอาก้อนเนื้อหรือเนื้อเยื่อที่เป็นมะเร็งออกไปจากร่างกาย
การฉายรังสี (Radiation Therapy): ใช้รังสีที่มีพลังงานสูงทำลายเซลล์มะเร็ง
เคมีบำบัด (Chemotherapy): การใช้ยาเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง หรือหยุดการเจริญเติบโตของเซลล์
การบำบัดด้วยภูมิคุ้มกัน(Immunotherapy): เป็นการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง วิธีนี้ใช้ยาหรือสารที่กระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานดีขึ้นในการตรวจจับและทำลายเซลล์มะเร็ง การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันเป็นวิธีที่ได้รับความสนใจมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และได้ผลดีในมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งผิวหนัง (melanoma) และมะเร็งปอดบางชนิด
การรักษาแบบมุ่งเป้าหมาย (Targeted Therapy): เป็นการใช้ยาหรือสารชีวภาพที่มีเป้าหมายเฉพาะเจาะจงในการทำลายเซลล์มะเร็ง วิธีนี้จะเน้นไปที่การยับยั้งการทำงานของยีนหรือโปรตีนที่เป็นสาเหตุให้เซลล์มะเร็งเจริญเติบโต โดยไม่ทำลายเซลล์ปกติรอบ ๆ
การรักษาด้วยฮอร์โมน (Hormone Therapy): สำหรับมะเร็งบางชนิดที่เกิดจากฮอร์โมน เช่น มะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมลูกหมาก การใช้ยาหรือการรักษาเพื่อลดการผลิตหรือปิดกั้นการทำงานของฮอร์โมนที่ส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งอาจมีประสิทธิภาพในการรักษา
การปลูกถ่ายไขกระดูก (Bone Marrow Transplant): ในบางกรณีของมะเร็งเม็ดเลือดขาว (leukemia) หรือมะเร็งต่อมน้ำเหลือง (lymphoma) การปลูกถ่ายไขกระดูกจากผู้บริจาคที่เหมาะสมสามารถช่วยให้ร่างกายสร้างเซลล์เม็ดเลือดที่แข็งแรงใหม่หลังจากที่ถูกทำลายด้วยเคมีบำบัดหรือการฉายรังสี
การป้องกันมะเร็ง
การป้องกันมะเร็งเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนสามารถทำได้เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรค วิธีการป้องกันมะเร็งได้แก่:
1. การหลีกเลี่ยงสารก่อมะเร็ง
หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารก่อมะเร็ง เช่น การสูบบุหรี่ การใช้ผลิตภัณฑ์ยาสูบ และการดื่มแอลกอฮอล์อย่างมากเกินไป ลดการสัมผัสแสงแดดโดยตรงและใช้ครีมกันแดดเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งผิวหนัง
2. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหาร
การรับประทานอาหารที่มีผักและผลไม้สด หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง อาหารที่ผ่านการแปรรูปมากเกินไป และการบริโภคเกลือและน้ำตาลในปริมาณมาก ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งเต้านม
3. การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
การออกกำลังกายช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและช่วยควบคุมน้ำหนัก ซึ่งเป็นปัจจัยที่สามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งตับ
4. การตรวจสุขภาพประจำปี
การตรวจสุขภาพประจำปีและการตรวจคัดกรองมะเร็งในระยะเริ่มต้นเป็นวิธีที่ช่วยให้พบมะเร็งในระยะที่สามารถรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การตรวจคัดกรองบางประเภทที่แนะนำได้แก่ การตรวจมะเร็งปากมดลูก (Pap smear) มะเร็งเต้านม (Mammogram) และการตรวจลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy)
5. การฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ
การฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสที่เกี่ยวข้องกับมะเร็ง เช่น วัคซีน HPV สำหรับป้องกันมะเร็งปากมดลูก และวัคซีนตับอักเสบบี (HBV) สำหรับลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับ เป็นมาตรการที่สำคัญในการป้องกันมะเร็ง
สรุป
มะเร็งเป็นโรคที่ซับซ้อนและมีหลายสาเหตุ ซึ่งมาจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอก การเกิดมะเร็งเกี่ยวข้องกับการกลายพันธุ์ของยีนที่ควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์ ทำให้เซลล์มะเร็งเติบโตอย่างรวดเร็วและไม่สามารถควบคุมได้ แม้ว่ามะเร็งจะเป็นโรคที่อันตราย แต่การวินิจฉัยและการรักษาในระยะเริ่มต้น รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการใช้ชีวิตเพื่อป้องกัน สามารถช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการรักษาหายได้
อ้างอิงจาก: google ,youtube