สะเลเตต้องแสงเดือน
ผมชอบเดือนหงายเหนือดงกล้วย...
จำได้ว่าตอนเป็นเด็ก ช่วงเข้าพรรษา หลังทานข้าวเย็นเสร็จ ก็จะนอนรับลมที่นอกชาน กับพ่อ แม่ น้อง และคุณย่า ดูใบกล้วยล้อเริงลม และหมู่ดอกสะเลเตในกระถางครุถังเก่าที่หน้าบ้าน เคล้าเสียงเพลงจากวัดเหนือ เสียงของแหบมหาเสน่ห์-สายัณห์ สัญญา เพลงของครู ดอย อินทนนท์ เพลง “แม่ดอกสะเลเต” เนื้อเพลงเริ่มว่า
คึดฮอดอ้ายแนเด้อแม่ดอกสะเลเต สาวชาวอีสานน้องอย่าหันเห ทิ้งพี่ว้าเหว่กังวลหม่นหมอง….
ฟังคราใดน้ำตาพาลจะไหล ภาพเฮือนหลังเก่า ที่มีลานดินทราย และกระถางสะเลเต ผุดขึ้นมาทักทาย อดีตบางช่วงช่างมีความลึกซึ้งอย่างบอกไม่ถูก
ยามฝนในพรรษาแต่ก่อน ที่ไม่ต้อง “งดเหล้า เข้าพรรษา” เพราะเวียกงานการสร้างไฮ่นาที่หนักหน่วง ต้องเคี่ยวกรำต่อสู้กับธรรมชาติที่แล้งที่ท่วมด้วยสองมือ(บ่เกี่ยวกับภาวะโลกร้อนแต่อย่างใดดอกท่านเอย) ไม่มีเทคโนโลยีเข้าช่วยจักแนว แม้นั่นจะเป็นฉากชีวิตเมื่อราว ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ที่มีฉากสวยกว่าฉากในนิยายเรื่องใดแต่ดูเหมือนเพิ่งผ่านไปหว่างหนึ่งฮั่น จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า...
เสียงเพลงดังแรง ค่อย ตามคลื่นกระแสลมที่พัดมาถึงเรา บางห้วงก็ขาดหาย บางห้วงก็ดังแรงกว่าเดิม ใบกล้วยพะเยิบพะยาบเออออ หนุ่มสาวกลับจากนารีบผัดเปลี่ยนเสื้อผ้าไปลงวัด คือไปประชุมที่วัด สอบถามจากคนเฒ่าคนแก่ว่า ไปฟังธรรมที่ศาลา แล้วก็ขับร้องสารภัญกัน คืนเดือนหงายหนุ่มสาวก็จะลงดายหญ้าที่ลานวัด ให้โล่งเตียน เพราะหน้าฝนหญ้าขึ้นยาว เป็นอุปสรรคต่อการเดิน การปฏิบัติธรรมของพระท่าน ได้เกี้ยวพาราศีกันพองาม เพราะอยู่ในเขตวัด แค่สบตา พูดคุยกัน ชีวิตก็มีชีวาอักโข พรุ่งนี้ก็มีแรงลงนาหาอยู่กิน บางคู่นัดหมายออกพรรษา หนุ่มจะให้แม่พ่อไปขอสาวเจ้าแน่ สาวเจ้าได้ฟังก็อายแก้มแดงเป็นดอกจานหน้าแล้ง ม้วนตัวดายหญ้าอมยิ้มแก้มแทบปริ นัยว่ากลางวันทำงานบ้าน กลางคืนทำงานวัดด้วยความรื่นรมย์ เจ้าอาวาสก็เดินดูให้กำลังใจ เห็นสมมาพาควรก็ให้เลิกกลับบ้านกัน พระก็จะได้จำวัด เอาแรงออกบิณฑบาตโปรดญาติโยมในรุ่งเช้าวันใหม่ เป็นวิถีชีวิตที่งดงามแท้ ๆ เสียดายที่ผมเกิดช้าไป ไม่แน่อาจหลงรักสาวสักคน ไม่สนใจเรียนหนังสือเลยก็เป็นได้ เสน่ห์แห่งบ้านทุ่งอาจดูดกลืนให้ชีวิตอยู่ในวังวนนั้น ไม่อยากจากหนีไปไหน
อย่างที่เล่านั่นแหละครับ เพลงแม่ดอกดอกสะเลเต ทำให้ผมคิดถึงภาพอดีต คิดถึงกระถางดอกสะเลเต หรือ ว่านมหาหงส์ ตระกูลพวกข่าขิง ที่ผมเคยรดน้ำตอนเช้าทุกวันก่อนไปโรงเรียน
เจ้าดอกสะเลเตกลีบขาวใจเหลือง ในกระถางครุถังสังกะสีเก่าสี่ห้ากระถาง บนร้านไม้ชั้นติดดิน ชั้นสองเป็นต้นขิง ส่วนชั้นสามเป็นต้นผักแป้น สวนครัวที่ย่าพาทำ ไม่ใช่เพื่อประกวดในโครงการของตำบล หรือของเทศบาลดอกสิบอกให้ (เพราะไอ้เจ้าโครงการอย่างว่านั้น ไม่นานก็ดับวอดตามนักการ/กินเมืองท้องถิ่น ที่เขาจะผันเงินภาษีพี่น้องมาให้ค่าจ้างรางวัล และแถมแผ่นกระดาษจดแจงเกียรติคุณที่มีอยู่จริงมีอยู่ปลอมนั่น) แต่สวนครัวของย่าที่งามด้วยใจ งามด้วยขี้ควายในคอกใต้ถุนเฮือนนั้น เป็นสวนครัวเพื่อการกินอยู่ที่ปลอดภัยไร้สารพิษแห่งเคมีภัณฑ์ (ไม่ว่าบริษัทใด ๆก็ไม่อาจใช้ให้มือโฆษณาเจ๋ง ๆมือใด มาล่อตาล่อใจให้คุณย่าท่านต้องเปลี่ยนแนวทางได้) ไม่ใช่แค่เฮือนเฮาเองสิได้กินผักสดปลอดภัยพร้อมคุณค่าสมุนไพร ญาติพี่น้องก็ด้วย ต่างแวะมาขอมาเด็ดไปเฮ็ดอยู่เฮ็ดกินกันแบบบ่ต้องมากพิธี บ่มีอายกัน เงินหาได้มีค่าท่อน้ำจิตน้ำใจไม่ และนอกจากผักในกระถางนั้นแล้ว ที่ย่าได้แบ่งปันลูกหลานญาติมิตร เจ้าดอกสะเลเตที่ออกช่อขาวพราวหอมอ่อน ๆนั้นก็ด้วย เพื่อนคนเฒ่าของย่ามักแวะเวียนมาขอไปสอดรูหูใหญ่ยานให้ดูเท่ ยิ่งใครที่เคี้ยวหมากปากแดงได้เสียบรูหูและทัดหูด้วยดอกขาวหอมนั่นแล้ว ดูช่างมีเสน่ห์เสียยิ่งกว่าดาราฮอลลี่วูด พู้นแหล่ว หรือแม้คนหนุ่มสาวที่เดินผ่านกรายไปมา ก็อดขอเจ้าดอกงามไปเชยชมไม่ได้ เพื่อนนักเรียนของผมสมัยนั้นก็ยังเคยมาขอดอกไม้ประจำบ้านนี้ ไปดมดอมยามเช้าตอนเดินไปโรงเรียน ทุกวันนี้ผมก็ยังเห็นนักเรียนมัธยมบางคนบางกลุ่มหอบความงามความหอมของเจ้าสะเลเตมาเรียนด้วย นัยว่ารักดอกไม้รักธรรมชาติ รักชีวิตที่มีชีวา ซึ่งผมว่าดีกว่าพกมือถือเป็นไหน ๆ พกดอกไม้ไม่เปลืองตังค์ มีแต่ได้ ได้รสชาติธรรมชาติ ได้หอม ได้งาม แต่พกมือถือ เปลืองเงินเพิ่มโดยไม่จำเป็น คุยไม่เป็นเวลาก็เพิ่มความไร้สาระ พอกพูนนิสัยบริโภคสถานเดียว เสียการเรียน หนักเข้าก็โทรนัดแนะกันหลบเรียน บ้างก็หลงไปในทางเสื่อมทางทรามน่าอนาถ...
เล่าถึงดอกสะเลเตแล้วเขวไปเรื่องอื่น... อีกแล้วท่านเอ้ย อดเด้อใจ เว้าไปหลายมันสิล่วง ป่วงหลายมันสิบ้า เขาสิเอิ้นว่าบ่พอ บอกเจ้าของดอกหวา ผู้อ่านเอย
เชิญฟังต่อ อ่านต่ออีกหน่อยหนึ่งครับ
ดอกสะเลเตหากมันบานเต็มกอทุกกระถาง ชนิดขาวโพลน หอมไกลทั้งเช้าเย็นนั่นก็ว่างามมากแล้ว ก็ยังบ่ได้เคิ่งตอนกินข้าวแลงแล้ว ยามนั้นในคราวยังน้อย ที่ไร้ซึ่งเสียงโทรทัศน์รบกวนจินตนาการ ผม ย่า พ่อแม่ และน้อง ก็จะนอนคุยกันอ่อมอ่อมอยู่นอกชาน พ่อแม่อาจให้น้องเป็นหมอนวดจำเป็น ช่วยคลายเอ็นคลายเส้นที่เมื่อยขบจากงานนา ส่วนผมก็สิขอฟังนิทานจากย่า หรือบ่ก็นอนฟังเพลงจากเครื่องไฟของวัดเหนือ เหม่อมองลีลาใบกล้วยหน้าเฮือน และแสงเงาจันทร์พิงพาดกระถางสะเลเตทางลุ่มพื้น จินตนาการไปตามนิทาน ไปตามเพลงถึงไหนต่อไหน คืนใด๋สิบห้าค่ำเดือนเพ็ง ฉากหน้าบ้านก็เพิ่มความผ่องนวล ด้วยแสงจันทร์ก่องตระการปานแดนสวรรค์ ว่านั่น
ทุกวันนี้ กอสะเลเตยังพอมีเหลืออยู่ที่บ้านพ่อแม่ และเฮือนใกล้ไกลในหมู่บ้าน แต่สิมีคุณค่าในใจคนรุ่นใหม่ยุคไอทีส่ำใด๋บ่นั่น ก็บ่อาจสิฮู้เห็นได้ แต่ผมว่า ต้นไม้ในบ้านจากแรงงานแห่งฮักของพ่อแม่หรือผู้เฒ่าที่ปลูกฝังไว้นั่น คงสิพอมีอำนาจแห่งสื่อบริสุทธิ์แผ่ผายดีงามไปหุ้มห่อจิตใจลูกเต้า
ให้อยู่ในแปวในป่อง พาคล่องพางามได้บ่หลายกะน้อย ว่าเด
ภาพสะเลเตต้องแสงเดือนหงายยามฝนผ่านไป เมื่อลมหนาวมาเยือนก็ได้ฉากงามอีกมิติหนึ่ง ถึงสิหนาวกาย แต่เมื่อภาพงามๆนั้นผุดพรายขึ้นกลางใจยามใด กลับอุ่นอก อุ่นใจ ปานได้นั่งผิงไฟกับย่าใกล้ ๆ กระถางสะเลเตหมูนั้น ว่านา
จึงบางครั้ง หากใครได้ยินผมครวญเพลงแม่ดอกสะเลเต แม้ยามกลางเว็นแสก ๆ ก็อย่าว่ากันเด้อ มันมีความหลังที่ซึ้งคักอีหลีอีหลอ พ่อเอย
…คึดฮอดอ้ายแนเด้อแม่ดอกสะเลเต หากแม่จอมขวัญน้องห่างหันเห พี่คงโหยแห้งสิ้นแรงแล้งหวัง หวังว่าคนดีสาวลำชีจงเห็นใจบ้าง ย่ำสายัณห์วันหน้าวันหลังพี่คงได้ฟัง เสียงตุ้มตะติเติ่น...