เงาสะท้อนของม่านเวลา
เงาสะท้อนของม่านเวลา
โดย อักษราลัย
แสงสีทองของดวงตะวันลับขอบฟ้าทอประกายระยิบระยับบนผิวน้ำนิ่ง ราวกับดวงดาวนับพันกำลังเต้นระบำอยู่ในสระน้ำเล็ก ๆ สายลมยามเย็นพัดพาความเย็นและกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกลีลาวดีมาเตะจมูก ชายชราผมขาวโพลนนั่งอยู่บนม้านั่งไม้เก่าริมสระ มือเหี่ยวย่นกำรูปถ่ายขาวดำใบหนึ่งไว้แน่น ราวกับกลัวว่าสายลมจะพัดพาความทรงจำอันมีค่านั้นหายไป
เสียงหัวเราะใสกังวานดังแว่วมาจากสนามหญ้าเบื้องหน้า เด็กชายวัยห้าขวบกำลังวิ่งไล่จับผีเสื้อหลากสีที่บินว่อนอยู่เหนือทุ่งดอกไม้ ดวงตากลมโตเป็นประกายด้วยความสุขและความตื่นเต้น เท้าน้อย ๆ ย่ำลงบนพื้นหญ้าอ่อนนุ่มอย่างไร้เดียงสา ไม่รับรู้เลยว่าโลกภายนอกนั้นโหดร้ายเพียงใด ชายชรามองภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้มบาง ๆ แต่แฝงไว้ด้วยความเศร้าในดวงตาที่หม่นหมอง
"ลูกเอ๋ย..." เสียงแผ่วเบาหลุดออกมาจากริมฝีปากสั่นระริก ความทรงจำหวนกลับมาราวกับคลื่นซัดสาดเข้าใส่ชายฝั่งแห่งจิตใจ
......
เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว แรงสั่นสะเทือนส่งผ่านพื้นดินจนรู้สึกได้ถึงกระดูก ควันและฝุ่นคละคลุ้งไปทั่ว บดบังทัศนวิสัยจนแทบมองไม่เห็นอะไร ทหารหนุ่มวิ่งฝ่าสนามรบอันวุ่นวาย มือกระชับปืนแน่น หัวใจเต้นรัวด้วยความกลัวและความหวัง เสียงกระสุนและเสียงร้องของเพื่อนทหารดังก้องอยู่รอบตัว แต่เขาไม่มีเวลาจะหยุดคิด เขาต้องรอด เขาต้องกลับบ้าน ลูกชายและภรรยากำลังรอคอยการกลับมาของเขาอยู่
"ผมต้องรอด..." เขาพึมพำกับตัวเอง น้ำตาคลอเบ้า "ผมต้องกลับไปหาพวกเขา..."
......
"คุณพ่อครับ ผมจะเป็นทหารเหมือนพ่อ!" เด็กชายวัยสิบขวบพูดอย่างภาคภูมิใจ ดวงตาเป็นประกายด้วยความฝันและความปรารถนา ชายวัยกลางคนยิ้มอย่างขมขื่น มือลูบศีรษะลูกชายเบา ๆ ความรู้สึกผิดและความกลัวแล่นปราดเข้ามาในใจ
"พ่อหวังว่าลูกจะไม่ต้องเห็นสิ่งที่พ่อเห็นมา ลูกเอ๋ย..." เขาพูดเบา ๆ น้ำเสียงแฝงความเศร้า "โลกนี้ต้องการคนสร้างสันติ ไม่ใช่คนสร้างสงคราม ลูกอาจจะยังไม่เข้าใจ แต่สักวัน..." แม้จะอยากห้ามความคิดนั้นเพียงใด แต่คำพูดใดก็ไม่อาจผ่านพ้นออกมาจากริมฝีปาก
......
ชายชราลืมตาขึ้นช้า ๆ น้ำตาเอ่อล้นออกมาโดยไม่รู้ตัว หยดน้ำใสไหลรินลงมาตามร่องแก้มที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลา เขามองภาพเด็กน้อยที่กำลังวิ่งเล่นอย่างมีความสุข ไร้เดียงสาและไม่รู้ถึงความโหดร้ายของโลก แล้วก้มลงมองรูปถ่ายในมือ ภาพของทหารหนุ่มในชุดเครื่องแบบยืนยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความหวังและความฝัน
"ถ้าฉันรู้..." เสียงแผ่วเบาหลุดออกมา "ถ้าฉันรู้ว่าสงครามจะพรากทุกอย่างไป ทั้งเพื่อน ครอบครัว และความเป็นมนุษย์ ฉันคงไม่..." เขาไม่อาจพูดต่อได้ ความเจ็บปวดในอดีตยังคงทิ่มแทงหัวใจราวกับมีดที่แหลมคม
เด็กชายวิ่งเข้ามาหา รอยยิ้มสดใสประดับใบหน้า ดวงตากลมโตเป็นประกายด้วยความสุขและความรัก "คุณปู่ครับ มาเล่นกันเถอะ? ผมจะจับผีเสื้อให้ได้นะ มันสวยมากเลย! ฮับ"
ชายชรายิ้มบาง ความอบอุ่นแผ่ซ่านในหัวใจ เขาค่อย ๆ เก็บรูปถ่ายลงกระเป๋าเสื้อ ปล่อยให้ความทรงจำและความเสียใจจมดิ่งลงสู่ห้วงลึกของกาลเวลา "ไปสิ หลานรัก" เขาลุกขึ้นช้า ๆ ข้อเข่าลั่นดังกรอบแกรบ มือเหี่ยวย่นจับมือนุ่มนิ่มของเด็กน้อย
ทั้งสองค่อย ๆ เดินไปบนสนามหญ้า ใบหน้าของชายชราสว่างไสวด้วยรอยยิ้ม ดวงดาวเริ่มทยอยปรากฏบนผืนฟ้าสีครามเข้ม ประดุจเพชรน้อยใหญ่ที่ประดับประดาอยู่บนม่านไหมแห่งราตรี แสงจันทร์สีนวลทอดยาวลงมาบนผืนน้ำ สาดส่องให้สวนเล็ก ๆ สว่างไสวด้วยแสงเรืองรอง ชายชราและหลานชายนั่งอยู่บนผืนหญ้านุ่ม มองดูภาพงดงามตรงหน้าด้วยความพิศวง
"คุณปู่ครับ" เสียงใสของเด็กน้อยทำลายความเงียบ "ทำไมดาวถึงสวยจังเลยครับ?"
ชายชรายิ้มบาง นัยน์ตาฉายแววอ่อนโยน "เพราะดวงดาวแต่ละดวงมีเรื่องราวของมันเอง หลานเอ๋ย" เขาตอบเบา ๆ "เหมือนกับชีวิตของเราทุกคน แต่ละชีวิตก็เป็นดาวดวงหนึ่งที่ส่องแสงในจักรวาลอันกว้างใหญ่"
เด็กน้อยขมวดคิ้วด้วยความสงสัย "แล้วชีวิตของคุณปู่ล่ะครับ เป็นดาวดวงไหน?"
ชายชราเงียบไปครู่หนึ่ง สายตาทอดไกลไปยังขอบฟ้า ความทรงจำมากมายผุดขึ้นมาในห้วงคำนึง ทั้งความสุข ความทุกข์ ความเจ็บปวด และความหวัง
"ชีวิตของปู่น่ะหรือ..." เขาพูดช้า ๆ "คงเป็นดาวที่เคยดับไปแล้ว แต่กลับมาสว่างไสวอีกครั้งด้วยแสงของหลาน"
เด็กน้อยยิ้มกว้าง กอดแขนปู่แน่น "งั้นหนูจะเป็นดาวที่สว่างที่สุดเลยนะครับ จะได้ส่องสว่างให้คุณปู่ตลอดไป"
น้ำตาแห่งความปีติไหลรินออกมาจากดวงตาของชายชรา เขาโอบกอดหลานชายไว้แนบอก ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง "ขอบใจมาก หลานรัก" เขากระซิบ "เจ้าคือแสงสว่างที่ทำให้ปู่มีกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป"
สายลมอ่อน ๆ พัดผ่าน พาเอากลิ่นหอมของดอกไม้ยามค่ำคืนมาเตะจมูก ใบไม้ไหวเอนเบา ๆ ราวกับกำลังขับกล่อมบทเพลงแห่งธรรมชาติ ชายชราและหลานชายนั่งเงียบ ๆ ด้วยกัน ปล่อยให้ความสงบโอบล้อมร่างกายและจิตใจ
ในช่วงเวลานั้น ชายชราตระหนักว่าแม้อดีตจะเต็มไปด้วยบาดแผลและความเจ็บปวด แต่ปัจจุบันและอนาคตก็ยังคงเปี่ยมไปด้วยความหวังและความงดงาม เขาไม่อาจลบเลือนความทรงจำในอดีต แต่เขาสามารถเลือกที่จะสร้างความทรงจำใหม่ ๆ ที่สวยงามได้ ด้วยความรักและการให้อภัย
ดวงดาวยังคงส่องแสงระยิบระยับบนท้องฟ้า เป็นพยานให้กับความรักอันบริสุทธิ์ระหว่างปู่และหลาน ซึ่งเป็นดั่งสายใยที่เชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเข้าด้วยกัน ในห้วงเวลาแห่งความสุขนี้ ทั้งสองต่างรู้ว่าพวกเขาได้พบกับความหมายที่แท้จริงของชีวิต นั่นคือการมอบความรักให้แก่กันและกัน และการเห็นคุณค่าของทุกช่วงเวลาที่ได้อยู่ร่วมกัน
ชายชราและหลานชายค่อย ๆ ลุกขึ้น จูงมือกันเดินกลับบ้าน ทิ้งไว้เพียงรอยเท้าบนพื้นหญ้าชื้นแฉะ และความทรงจำที่จะตราตรึงอยู่ในใจของทั้งคู่ตราบนานเท่านาน เสมือนให้มันโอบอุ้มความหวังและความฝันของทั้งคู่ไว้ในอ้อมกอด รอคอยวันใหม่ที่จะมาถึง พร้อมโอกาสที่จะสร้างเรื่องราวใหม่ ๆ ให้กับชีวิต เฉกเช่นดวงดาวที่ยังคงส่องแส
งอยู่บนท้องฟ้าเสมอ แม้ในยามที่ราตรีมืดมิดที่สุด...🍃