เรื่องเล่าจากเทือกเขาภูพาน...
เรื่องลี้ลับ...จากเทือกเขาภูพาน!!!
เรื่องเล่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ได้จากการ ตำรวจท่านหนึ่งซึ่งปฎิบัตหน้าที่อยู่ในภารกิจนั้น ซึ่งเป็นภาระกิจถวายความปลอดภัย ซึ่งได้ประจำการในช่วงของเหตุการนั้นได้เกิดขึ้นนั้นต้อง ย้อนไปเมื่อ พ.ศ.2546 บนเทือกเขาภูพาน อ.ภูพาน จ.สกลนคร ซึ่งเป็นการเสด็จไปยังภูผายล ต.กกปลาซิว อ.ภูพาน จ.สกลนคร เพื่อไปทอดพระเนตรทิวทัศน์ บริเวณวัดภูผายล
ในเหตุการนั้น...ได้มีการจัดวางกำลังตามแนวรายทาง จากตัวอ.ภูพาน จนไปถึง วัดถ้ำภูผายลนั้นหางออกไประยะทางประมาณ 20 กิโลเมตร ซึ่งต้องผ่านหมู่บ้าน ซึ่งประกอบด้วยหมู่บ้าน นาขี้นาค กกโด่ กกปลาซิว โพนแพง โพนบก และนาผาง ซึ่งในตอนนั้น มีความทุรกันดารอย่างมาก และไม่ค่อยมีบ้านเรือนคนตั้งอาศัยโดยรอบ เป็นป่าทึบซึ่งเป็นเขตอุทยานภูพาน เราจะเริ่มเล่าตั้งแต่ เป็นเหตุการณ์ในช่วงบ่าย... ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้มีการวางกำลังในแต่ละจุด ซึ่งห่างกันไปมาก จะมองได้เห็นเด่นชัดก็เพียงแต่กระบองไฟหรือไฟฉายเท่านั้น ในช่วงเช้าที่พระองค์ทรงพระราชดำเนินไปนั้น ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ซึ่งในขณะนั้น ผู้ที่เล่าเรื่องให้ฟังนั้นกล่าวว่าตนมียศเพียง สิบตำรวจตรีเท่านั้น ในวันนั้นเป็นวันที่อากาศค่อนข้างหนาว ด้วย เป็นพื้นที่สูงในเขตที่ราบสูงภูพานนั้น
ตนกับคู่บัดดี้ซึ่งเป็นรุ่นพี่ ได้พากันเข้าประจำจุดยังจุดที่ได้มีการวางกำลังไว้นั้น ผ่านในช่วงประมาณบ่าย พระองค์ก็ทรงได้พระราชดำเนินผ่านจุดที่ตนนั้นได้เข้าจุดนั้น ขึ้นไปยังวัดถ้ำภูผายล ซึ่งตามแผนนั้น พระองค์เสด็จกลับลงมานั้นจะเดินทางไปในทางอำเภอเต่างอย จังหวัดสกลนครและเดินทางกลับไปยังสนามบินค่ายกฤษณ์ศรีวราแล้วจึงเดินทางด้วยเครื่องบินพระที่นั่งกลับ แต่ในวันนั้นพระองค์ทรงพระราชดำเนินประพาสป่า ซึ่งกินเวลาไปมากจนเข้าช่วง เข้าช่วงค่ำ ซึ่งเป็นเวลาประมาณ 2-3 ทุ่ม พระองค์ได้พักอยู่ที่จุด รักษาการอุทยาน ซึ่งเป็นพื้นที่ของภูผายล ซึ่งเป็นเวลาก็ค่ำแล้ว เจ้าหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องจึงได้ทูลกับพระองค์ว่าหากจะเดินทางต่อในเส้นทางของเขตอำเภอเต่างอย จะเป็นการยากเพราะเส้นทางนั้นคดเคี้ยวและราชันย์ไม่เหมาะจะเดินทางในช่วงเวลากลางคืนเนื่องจาก เกรงว่าจะเกิดภยันตรายแก่พระองค์ จึงได้เปลี่ยนเส้นทางเดินทางย้อนกลับมาในทางของอำเภอภูพาน จึงทำให้ต้องประจำจุดต่อ
จนเมื่อถึงระยะเวลาพระองค์จะเสด็จมาถึงจุดที่ตนได้เข้าเวรอยู่นั้น ปรากฏเห็นคบไฟเดินทะลุป่าปรากฏว่าเป็นกลุ่มคนที่ดูเหมือนว่าจะมารอรับเสด็จ การแต่งกายเป็นชาวบ้านธรรมดา ซึ่งมีประมาณ 30-40 คน มือของแต่ละคนนั้นถือคบไฟ เมื่อตนเห็นเช่นนั้นจึงได้ถามกับกลุ่มคนนั้นว่าพากันมาทำอะไร กลุ่มคนเหล่านั้นซึ่งมีชายคนหนึ่งเดินนำหน้ามานั้น ได้ตอบกลับเจ้าหน้าที่ว่า "มารอรับเสด็จท่าน" เมื่อทราบเช่นนั้นจึงบอกให้กลุ่มคนนั้น เข้าแถวริมทาง ถัดออกมาจากถนนระยะประมาณ 3 ถึง 4 เมตร จากนั้นจึงได้ถามผู้นำของกลุ่มคนเหล่านั้นว่าท่านมาจากที่ไหน ผู้นำของกลุ่มคนเหล่านั้นจึงชี้ทะลุป่าไปด้านหลังของจุดที่ได้ประจำจุดรอรับเสด็จอยู่นั้น ปรากฏเห็นแสงสว่างจาก บ้านเรือนที่ ทะลุป่า มายังจุดของตนจึงคิดว่าเป็นชาวบ้าน ที่อาศัยอยู่บริเวณละแวกนั้นจึงไม่ได้เอะใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
จากนั้นจึงให้คนเหล่านั้นนั่งลงอย่างเป็นระเบียบซึ่งกลุ่มคนเหล่านั้นก็ปฏิบัติตามและมองดูหน้าของบุคคลเหล่า ปรากฏว่าก็เป็นทั้งเด็ก คนแก่ วัยรุ่นหนุ่มสาวปะปนกันไป จนเมื่อได้รับสัญญาณวิทยุข้อความว่า "พระองค์จะจะเด็ดผ่านในเวลาอีกไม่นานนี้" ต้นกับคู่บัดดี้จึงได้เข้าประจำจุด ซึ่งถ้าที่ประจำจุดนั้นเป็นท่าตามระเบียบพักหันหน้าเข้าหาถนน ซึ่งเป็นทางเสด็จพระองค์จะใช้เสด็จนั้น ทำให้หันหลังให้กลุ่มคนเหล่านั้น เมื่อถึงเวลาพระองค์เสด็จมา จึงได้บอกให้กลุ่มคนเหล่านั้นนั่งลง "พากันนั่งดีๆเด้อท่านมาแล้ว(พูดด้วยภาษาอีสาน)" เสียงของเจ้าหน้าที่ได้เอ่ยขึ้นพร้อมหันหน้ามาบอกให้กลุ่มคนนั่งลงอยู่นั้นปรากฏว่ากลุ่มคนก็นั่งลงเป็นระเบียบเรียบร้อย แสงสว่างจากคบไฟและตะเกียงที่กลุ่มคนนั้นถือ สว่างเป็นแนวยาวตามแนวของถนน เมื่อพระองค์ได้เสด็จผ่านไปนั้น ตนและบัดดี้ก็ได้คุย กันว่าจะเดินทางไปที่หมู่บ้านด้านหลังเพื่อหาน้ำดื่ม "ป่ะะ..อ้ายไปหาน้ำกินก่อนเมือเฮา(พูดอิสาน)"
แต่เมื่อ ขบวนเสด็จผ่านไปแล้วนั้น ตนได้หันหลังกลับมา ปรากฏว่า!!!! กลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังรอรับเสด็จอยู่นั้นได้หายตัวกันไปจนหมด ไม่มีแม้แต่เสียงฝีเท้าแสงสว่างจากคบเพลิงหรือตะเกียง ในขณะนั้นคู่บัดดี้ของตนยังไม่ได้หันกลับมา ตนนั้นครองสติแทบไม่อยู่ จึงพูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า "อ้ายยย!!!คนเเสียไปไสแล้ว" หลังจากนั้นเพื่อนที่เป็นรุ่นพี่ที่ประจำอยู่ในสภ.เดียวกันซึ่งเป็นคู่บัดดี้นั้น ได้หันหลังกลับมาปรากฏว่าก็มีอาการตื่นตกใจครองสติไม่ได้เหมือนกัน จากนั้นต้นกับเพื่อนจึงตัดสินใจส่องไฟไปยังที่ที่ตนได้เห็นหมู่บ้านที่มีแสงสว่างจากคบไฟตะเกียงและเห็นชาวบ้านเดินไปมาอยู่เมื่อสักครู่นั้นปรากฏว่าเป็นป่าทึบไม่มีแม้แต่แสงสว่างหรือคนเดินผ่านไปมา เป็นป่าที่มีความรกทึบไม่สามารถจะอยู่อาศัยได้
ตนกับเพื่อน จึงได้หาที่หลบด้วยความกลัว ในสิ่งที่ประสบพบเจอเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา ไม่นานก็ได้มีรถลำเลียงกำลังพลมารับ กำลังพลที่จุดอยู่ประจำจุดต่างๆ หลังจากนั้นตนก็ได้เล่าให้เพื่อนที่เป็น เจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นคนในพื้นที่ให้ฟังว่าตนได้เจอเหตุการณ์นี้ เพื่อนที่เป็นเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ที่ได้มีพื้นที่อาศัยอยู่รับแถวนี้ได้บอกกับพวกเขาว่า "ตนอยู่ที่นี่มาก็นานแล้วตั้งแต่เกิด...พ่อแม่ก็เป็นคนที่นี่...ไม่เคยได้ยินว่าที่ตรงนี้หรือละแวกนี้จะมีหมู่บ้านหรือเคยมีหมู่บ้านมาก่อน" โดยพื้นที่ที่ว่านั้นเป็นรอยต่อระหว่างหมู่บ้านนาผาง และหมู่บ้านโพนแพง ซึ่งเป็นพื้นที่สุดท้ายก่อนจะขึ้นถึงภูผายล
ตั้งแต่ตอนนั้น... ตนก็หาคำตอบไม่ได้ว่ากลุ่มคนที่ตนได้เห็นนั้นเป็นสิ่งใด...สิ่งที่เห็นนั้นอาจไม่เคยมี...หรือมีมาตลอด...
ซึ่งก็หาข้อพิสูจน์ไม่ได้แต่ภาพที่ตนได้เห็นในวันนั้นตนขอรับรองไว้ว่าเป็นเรื่องจริงซึ่งมีพยานเป็นบัดดี้ที่เป็นเจ้าหน้าที่ในพื้นที่สภ.เดียวกันประจำจุดเดียวกันเห็นภาพแบบเดียวกันเป็นพยานได้ หลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านไป.... จบ....
เรื่อง..จาก ด.ต.นิเวท ถึงคำภู