นิทานสอนใจ: คนเลี้ยงแพะในทุ่งโล่ง
นานมาแล้ว ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในทวีปแอฟริกา มีชายคนเลี้ยงแพะอยู่สองคน คนที่หนึ่งนั้นคิดบวก จิตใจโอบอ้อมอารี อีกคนตระหนี่ นิสัยหยาบคาย ชอบมองโลกในแง่ลบ แต่ทั้งสองก็เลี้ยงแพะเหมือนกันและรักอาชีพนี้ เมื่อถึงเวลาพวกเขาจะรีดนมแพะไปขายยังตลาดในเมือง หมู่บ้านของชายทั้งสองตั้งอยู่ข้างๆ ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ มีทั้งยีราฟ ม้าลาย ช้าง และแรดอาศัยเคียงข้างกัน พวกเขาจะให้แพะเข้าไปอยู่ในทุ่งโล่งที่อุดมไปด้วยหญ้าเหล่านี้
กระนั้นเอง วิธีการเลี้ยงแพะของทั้งสองกลับต่างกันสิ้งเชิง ชายเลี้ยงแพะผู้ใจดีจะให้แพะของเขาคอยกินหญ้าในทุ่งโล่ง แต่จะคอยมองฝูงแพะของเขาที่เปรียบดั่งลูกหลานให้อยู่ในระยะสายตาเพื่อเลี่ยงอันตรายที่จะเกิดขึ้นหรือกันแพะจะเตร็ดเตร่พลัดหลง และคอยสั่งสอนให้เหล่าแพะที่ฟังตนออกให้อยู่ในร่องรอย ไม่ไปแย่งอาหารสัตว์อื่นกิน เหล่าแพะทั้งหลายก็ทราบดี พวกมันรักเจ้านายของตนมากเปรียบดั่งบิดามารดาและมักจะไม่ดื้อรั้น พวกมันจะคอยแบ่งปันหญ้าในทุ่งโล่งเสมอๆ และสัตว์ป่าอื่นๆ ก็ช่วยระวังภัย เมื่อสิงโตหรือไฮยีน่าจะเข้ามาจับแพะกิน เหล่าแพะและสัตว์อื่นๆ จะรวมตัวกันแบบที่ไม่มีใครคาดคิดมาเข้าโจมตีพวกนักล่าร่วมกับฝูงแพะและปกป้องกันจนกว่านักล่าจะยอมถอย พวกสัตว์ป่ากินพืชทั้งหลายก็เห็นแพะเหล่านั้นเป็นพวกพ้องที่สนิทกันมากเช่นกัน ชายเลี้ยงแพะผู้ใจดีก็จะให้แพะของตนเล่นกับสัตว์เหล่านั้นโดยไม่ไปไล่สัตว์เหล่านั้นอย่างหยาบคายเลย แต่จะคอยดูว่าสัตว์เหล่านั้นสอนอะไรเหล่าแพะบ้าง ซึ่งสัตว์ป่าเหล่านั้นกลับใฝ่ดี และสอนการเอาตัวรอดให้กับแพะของเขา
ผิดกันกับชายอีกคนผู้ติดลบ เขามักจะกันฝูงแพะของตนอย่างหวงแหนไม่ให้มันเข้าไปใกล้สัตว์ป่าเหล่านั้นแม้พวกมันจะมีเจตนาดี เขาจะใช้ไม้ไล่หวดและปืนไล่ยิงสัตว์ที่จะมาผูกมิตรกับแพะของเขา และสอนแพะของเขาว่าพวกสัตว์เหล่านั้นอาจจะทำอันตรายพวกเขาได้ แม้แพะกลุ่มนี้จะไม่เห็นด้วย พวกมันก็ไม่มีสิทธ์และต้องฟังเจ้านาย ซึ่งทุกครั้งเหล่าแพะไม่เคยได้เลือกหญ้าที่อร่อยและมีคุณค่าเอง ชายผู้นั้นจะบังคับให้แพะของเขากินแต่หญ้าชนิดที่เขาเชื่อว่าบำรุงร่างกายของแพะอย่างดีที่สุด เหล่าแพะไม่เคยเรียนทักษะเอาตัวรอด ไม่เคยเจอสัตว์นักล่าเลย ทำให้พวกมันขาดทักษะเหล่านั้นจนเอ๋อๆ และต้องยอมทำตามแบบเลี่ยงไม่ได้
เมื่อถึงวันหนึ่งที่ได้เวลาขายนมแพะ ชายผู้ใจดีมารีดนมแพะของเขาและได้ผลประโยชน์เป็นกอบเป็นกำมากมาย เมื่อขายได้ที่ตลาดก็กลับเป็นที่ถูกใจของพ่อค้าที่รับซื้อและได้เงินมากมาย ชายเลี้ยงแพะผู้ใจดีกลับมาที่หมู่บ้าน และเจอสหายผู้คิดลบนั่งเซ็งพลางปาดน้ำตาอยู่ที่ปากทางเข้าหมู่บ้านพอดี จึงนั่งลงคุยกับเพื่อนเพื่อถามไถ่
"เพื่อนเอ๋ย ทำไมถึงมานั่งเศร้าแบบนี้เล่า มีอะไรที่อยากจะบอกฉันไหม?" ชายใจดีถามขึ้น
"เหล่าแพะของฉันน่ะสิ พวกมันเกิดไม่ฟังฉัน เอาไม้เฆี่ยนก็ไม่ฟัง พวกมันกลับชนฉันล้มและออกเตร่ไปกินหญ้าไกลขึ้นจากจุดที่กำหนดไว้ พวกมันทั้งหมดพอออกไปแล้ว สัตว์อื่นๆ ก็เข้ามาเล่นด้วยแต่พวกมันก็กลับหนีมา ตอนแรกเหมือนจะดี แต่กระนั้นพวกมันได้เห็นสิงโตที่นอนอยู่เป็นฝูง เลยจะเข้าไปหา แต่กลับถูกฝูงสิงโตกินหมดจนตาย ฉันเลยผิดหวังและโกรธในเวลาเดียวกัน ฉันเป็นคนเลี้ยงแพะที่แย่ใช่ไหม?" ชายผู้คิดลบเศร้าพูดขึ้น
"ไม่หรอกเพื่อนเอ๋ย นายเองก็ทำถูกแล้ว แพะเหล่านี้เหมือนลูกหลาน เหมือนสมบัติในบ้าน จะหวงแหนรักใคร่ไม่ให้มีอันตรายมากล้ำกรายก็กระไร แต่นายทำพลาดไปหนึ่งข้อน่ะ" ชายใจดีกล่าวขึ้นก่อนจะหยุดไปชั่วครู่
"ฉันพลาดเหรอ?! บ้าน่า! ก็เจ้าแพะหัวดื้อพวกนั้นมันไม่เคยสนใจจะฟังฉันเลย ฉันเอาสิ่งดีๆ เอาหญ้าชนิดดีๆ ให้พวกมันกินตลอดเวลา แต่สั่งไปแล้วพวกมันกลับชอบแอบหนีกันตอนเผลอ ไม่ก็ไม่กินหญ้าที่ฉันให้เลยด้วย นายเองไม่มีปัญหานั้นเลยเหรอ?"
"ไม่เลย ฉันจะสอนแพะของฉันทุกตัวว่า หญ้าแต่ละชนิดมีคุณสมบัติต่างกันไป กินอย่างใดอย่างหนึ่งก็ไม่ดี แต่ละตัวก็ชอบกินไม่เหมือนกัน จะต้องให้พวกมันเลือกอย่างระวัง แต่เพื่อป้องกันไม่ให้มันกินหญ้าชนิดเดียวมากไปหรือไปหลงกินหญ้าไม่ดี ฉันก็จะต้องสอนให้พวกมันหัดแยกแยะหญ้าก่อนกิน และประเมินตนเสมอๆ แน่นอนว่ามันต้องมีพลาดบ้าง แต่ฉันก็จะให้พวกมันทบทวนตนเองว่ายังอยากจะทำแบบเดิมหรือไม่"
"พวกมันฉลาดขนาดนั้นเชียวรึ?"
"ประมาณหนึ่งน่ะ แต่การจะเอาตัวรอดในทุ่งโล่งที่ยิ่งใหญ่นี้ พวกเขาจำต้องมีเพื่อน ใช่ เพื่อน สังคมข้างนอก หมายถึงสัตว์อื่นๆ เราจะต้องสอนให้พวกเขาเกื้อกูลต่อกันและกัน เหล่าแพะจะต้องหัดแยกยะผิดชอบชั่วดี ถ้าพวกมันรู้ผลลัพธ์ดีเสีย พวกมันจะเลือกสิ่งที่เหมาะสมต่อตนเองน่ะ ฉันสังเกตดู แพะของฉันที่ไปเรียนวิชาเงี่ยงหูฟังฝีเท้านักล่าจากเหล่าม้าลายที่ก้มตัวกินหญ้า พวกมันก็ใช้วิชานี้ได้ แต่แพะที่ไม่ถนัดอาจจะเรียนวิชาใช้เขาขวิดจากละมั่งที่มีอยู่มาก พวกมันก็ทำได้ดีเช่นกัน แล้วแพะของนาย มีทักษะเอาตัวรอดอะไรบ้างไหม พวกมันมีเพื่อนเป็นสัตว์อื่นและเกื้อกูลกันดีไหม?"
"ไม่เลย ฉันกันสัตว์อื่นๆ ออกจากแพะของฉัน เพราะพวกมันชอบแย่งหญ้าที่ฉันจะเก็บไว้ให้แพะของฉันเอง ถึงพวกมันไม่ทำอันตรายแพะพวกนั้น ฉันก็จะไล่ออกไปและสอนพวกมันว่าพวกมันนั้นอันตรายเจ้าเล่ห์เพทุบาย" ชายผู้คิดลบกล่าวขึ้น
"อืม แบบนี้สินะ เข้าใจล่ะ ปัญหาของนายมาจากแนวคิดที่ลบและปิดกั้นต่อทุกสิ่ง ในทุ่งโล่งที่มีทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี เราไม่สามารถกันหรือห้ามพวกมันไปตลอดได้หรอก เราต้องมีความชัดเจนในกฏว่า สิ่งนี้ทำได้ ทำไม่ได้ และต้องสอนแพะของพวกเราให้รู้ด้วยว่า การกระทำใดๆ มีผลเสียเสมอ มันคือการเรียนรู้ และก็จะเกิดการเรียนรู้จนเข้าใจ การหักห้ามนั้นดี แต่พวกมันจะไม่เคยสัมผัสว่า สิ่งอื่นที่มีดีเป็นเช่นไร สัตว์อื่นนั้นที่พวกมันเจอจะดีหรือแย่กันแน่ สุดท้ายแล้ว พวกมันก็กลับกลายเป็นสัตว์ที่ใสซื่อจนตกเป็นเหยื่อยามเผชิญภัย หรือดื้อรั้นพยศเลยหากพวกมันได้สัมผัสถึงอิสระนอกเหนือจากกรอบที่นายตั้งขึ้น และคงจะไม่ฟังนายอีกเลย นี่คือความต่างในการอบรมสั่งสอนและเลี้ยงดูน่ะ หวังว่าถ้านายได้แพะชุดใหม่มาแล้ว จะดูแลให้ดีนะ ฉันต้องรีบนำเงินที่ได้มากลับไปไว้ที่บ้าน แล้วเจอกันใหม่นะเพื่อน"
เมื่อชายใจดีเดินกลับบ้านไปแล้ว ชายผู้คิดลบก็นั่งทบทวนสิ่งที่พูดเมื่อครู่ แต่คิดได้ก็สายไปแล้ว เพราะแพะฝูงสุดท้ายที่เขาเสียไปนั้น คือชุดสุดท้ายของเขา ตอนนี้เขาเป็นหนี้หมดตัวไปแล้ว ถ้าต้องการจะปลดหนี้ ในไม่ช้าคงต้องไปหาทำสิ่งอื่นเพื่อเป็นรายได้แทนเป็นแน่
จบ
เมื่อทุกท่านอ่านมาถึงจุดนี้ ทุกท่านคงอาจจะเห็นข้อคิดแล้วว่า สถาบันใดๆ ไม่ว่าครอบครัว สังคมในโรงเรียน หรือสังคมภายนอกองค์กรไหนๆ ล้วนอาศัยร่วมกับคนดีที่เกื้อกูลและคนไม่ดีที่จ้องเอารัดเอาเปรียบเสมอๆ การสอนให้คนของเรารู้จักระวังภัย รักษาตัวเองให้พ้นภัย เท่าทันนั้นสำคัญยิ่งนัก และเช่นเดียวกัน เราก็ต้องสอนพวกเขาให้รู้ถึงประโยชน์ที่พวกเขาควรให้ และสิ่งที่ไม่ควรให้กลับคืนสู่สังคมด้วย พ่อแม่หรือผู้นำรู้ว่าพวกเขาเป็นห่วงคนของพวกเขา เป็นห่วงลูกหลาน ลูกน้อง ทีมงาน พนักงาน แต่เราจะปล่อยให้พวกเขาเอาแต่อยู่ใน comfort zone หรือกรอบของกฏที่พวกเราสร้างไปตลอดไม่ได้ พวกเราจึงควรสอนพวกเขาเพื่อให้ตระหนักถึงผลดี ผลเสียต่อสิ่งที่พวกเขาทำได้และทำไม่ได้กันเถอะ เพราะในสังคมอันกว้างใหญ่นี้ มีทั้งคนดีที่พร้อมช่วยและคนไม่ดีที่พร้อมรอกอบโกยจากข้างหลังแล้วผลักพวกเขาให้ล้มเสมอๆ