มนตราวายสะ ตอนที่ 13 ผู้ใจดี (2)
+++++++++
“ด้วยความยินดีครับ”
“แล้วเรื่องที่ผมมอบหมายให้ไปจัดการล่ะ” เขาถามถึงเรื่องที่ให้พลิศน์ไปจัดการเมื่อวันก่อน เพราะช่วงนี้ทุกอย่างกำลังยุ่งไม่สามารถออกไปจัดการอะไรหลาย ๆ อย่างด้วยตัวเองได้
“เรียบร้อยดีครับ อยู่ที่บ้าน มีคุณยายข้างบ้านที่ไว้ใจได้คอยสอดส่องดูแล ส่วนอยู่ที่โรงเรียนผมได้มอบหมายให้คุณครูคนหนึ่ง ที่จ้างคุณหนูทำงานบ้านช่วยดูแลครับ” พลิศน์รายงาน
“ทำไมต้องให้ทำงาน” วายสะขมวดคิ้วมองคนสนิทอย่างไม่ค่อยพอใจ สิ่งที่เขาไม่ต้องการคือไม่อยากเด็กน้อยคนนั้นลำบาก แม้จะต้องอาศัยอยู่กับพ่อแม่ที่ไม่ได้เรื่องก็ตาม
“มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนที่ผมจะได้พบคุณครูท่านนั้นครับ และก่อนที่จะตัดสินใจ ก็ต้องตรวจสอบประวัติด้วยครับว่าไว้ใจได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าบอกให้คุณครูท่านนั้นเลิกจ้าง คุณหนูคนนั้นคงเสียใจมากแน่ ๆ ครับ แต่ถ้าท่านต้องการผมจะไปจัดการให้” พลิศน์บอกรายละเอียด ซึ่งพอได้ฟังวายสะก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ “งั้นไม่ต้อง ปล่อยไปแบบนั้นแหละ” พูดจบชายหนุ่มก็เดินเข้าไปทักทายบุคคลในชั้นปกครองที่กำลังรอคอยเขาอยู่เพียงเล็กน้อย จากนั้นก็ไปยังลานกว้างเพื่อทักทายบรรดาเหล่าผู้คนในเผ่าที่กำลังดื่มด่ำเฉลิมฉลองอย่างสนุกสนาน
ซึ่งพอทุกคนเห็นเขาต่างก็พากันร้องสรรเสริญ บ้างก็พาลูกเล็กเด็กแดงเข้ามาให้เขาอวยพรเพื่อเป็นสิริมงคลกับชีวิตเด็กน้อย โดยตลอดเวลาจะมีพลิศน์เป็นคนจัดการความเรียบร้อยให้ และเขาก็ทำมันได้ดี
สกุณารู้ดีว่าตอนนี้ครอบครัวของเธอประสบปัญหาในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะปัญหาทางการเงิน ทำให้เธอกังวลว่าหลังจากจบชั้นประถมปีที่หกแล้ว จะได้มีโอกาสเรียนต่อในระดับชั้นต่อ ๆ ไม่หรือไม่ แต่ในวันหยุดนี้ที่เธอมาทำงานให้กับคุณครูสุนิสากลับได้รับข่าวดีอย่างไม่น่าเชื่อ
“คิดไว้หรือยังว่าจะไปเรียนต่อที่ไหนน่ะ” สุนิสาถามลูกศิษย์ตัวน้อยที่พอมาถึงก็เริ่มเก็บกวาดทำความสะอาดทันที
“ยังเลยค่ะ หนูไม่รู้จะยังไงต่อ” สกุณายิ้มแหย ๆ อนาคตของเธอช่างมืดมน ทุกวันนี้พ่อแม่หาเงินพอได้ใช้ไปวัน ๆ แถมสิ่งที่ควรประหยัดหรือเลิกอย่างพวกการพนันทั้งหลายแหล่ไม่เคยคิดจะลดละเลิก กลับมาประหยัดกับพวกอาหารการกินหรือการซื้อของใช้ที่มันจำเป็น บางครั้งก็ยังมีเจ้าหนี้มาทวงบ้างประปราย แต่พวกโหด ๆ ก่อนหน้าหนี้เงียบหายไปเลย ไม่รู้เพราะได้เงินคืนแล้วหรือขี้เกียจมากันแน่ เธอเองก็ได้แต่สงสัย
“เธออยากไปเรียนต่อที่ไหน เลือกมาเลยนะ ครูมีทุนการศึกษาจากผู้ใจดีมาทุนหนึ่งน่ะ” สุนิสาหันมายิ้มให้กับสกุณาที่พอได้ยินอย่างนั้นก็รีบเดินถลาเข้ามาหาอย่างดีใจ “จริงเหรอคะ แล้วครูเอามาให้หนูอย่างนี้ทางโรงเรียนจะไม่ว่าใช่ไหมคะ” เด็กน้อยถามอย่างเป็นกังวล
“ทุนนี้ไม่เกี่ยวกับโรงเรียนหรอก เป็นทุนจากคนรู้จักของครู เขาอยากให้ทุนกับเด็กดีแต่ฐานะยากจนน่ะ”
“ครูจะให้หนูอย่างนั้นเหรอคะ” สกุณาถามย้ำ
“แล้วเราเป็นเด็กดีหรือเปล่าล่ะ” สุนิสาแกล้งย้อนถามยิ้ม ๆ ก่อนจะหลุดขำเล็กน้อย เมื่อสกุณาพยักหน้ารัวจนกลัวคอจะหลุด “ค่ะ หนูจะเป็นเด็กดี”
สุนิสามองเด็กน้อยวัยสิบสองขวบตรงหน้าแล้วยิ้มบาง ๆ ก่อนจะยืนมือไปจับที่ต้นแขนเล็กทั้งสองข้างนั้นเอาไว้ “เงื่อนไขเดียวที่เขาอยากได้คือ ขอให้หนูเป็นเด็กดีและตั้งใจเรียนก็พอ และทุนนี้เขาให้เรียนสูงเท่าที่หนูจะอยากเรียนเลยนะ”
“จริงเหรอคะ” สกุณาถามย้ำพลางเบิกตากว้างอย่างดีใจ ไม่คิดว่าตัวเองจะมีโอกาสที่ดีขนาดนี้
“จริงสิ”