เพราะเหตุใด หมาของฟาร์ม สวาลินน์ (Svalinn) ถึงขายได้ตัวละ 5 ล้านบาท
ในแวดวงสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะหมา ราคาสูงหรือต่ำขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และฟาร์มที่เพาะเลี้ยง อย่างเช่น หมาที่คนรวยๆ ซื้อมาเลี้ยงที่ถือว่า ราคาแพงมาก ในอเมริการะดับตัวละกว่า 5 ล้านบาทหรือ 150,000 ดอลลาร์ และหมาที่ว่าก็คือหมาของฟาร์มชื่อว่า สวาลินน์ (Svalinn) แห่งรัฐมอนแทนา สหรัฐอเมริกา โดยหมาของสวาลินน์หน้าตามันจะดูคล้ายๆ พวกพันธุ์เยอรมันเชปเพิร์ด แต่ไม่เหมือนเสียทีเดียว นั่นเป็นเพราะหมาของที่นี่เพาะพันธุ์มาจาก 3 สายพันธุ์ที่ถือว่าฉลาดที่สุด เหมาะแก่การฝึกฝนอย่าง เยอรมันเชพเพิร์ด (German Shepherd) ดัตช์เชพเพิร์ด (Dutch Shepherd) และ เบลเจียนมาลินัวส์ (Belgian Malinois)
หรือพูดง่ายๆ ก็คือเอาหมาตำรวจ มาผสมพันธุ์กัน ผสมแล้วยังไม่พอ เขาเอามาฝึกเพื่อให้มันฉลาดในการรับคำสั่งอีก 2-3 ปี โดยการฝึกนั้นก็ฝึกโหดแบบหมาทหาร จากนั้นจึงนำออกมาขายในชื่อหมาสวาลินน์ โดยรับประกันว่าแต่ละตัวฉลาดสุดๆ ดังนั้นเวลาเราพูดถึงหมาสวาลินน์มันเลยไม่ใช่เรื่องของหมาสายพันธุ์ แต่คือหมาที่ถูกคัดเลือกสายพันธุ์จากการผสมให้ฉลาด ไม่พอเท่านั้นแต่มันยังผ่านหลักสูตรในการรับฟังคำสั่งด้วย โดยคำสั่งนั้นก็ไม่ใช่คำสั่งเพียง นั่ง หมอบ ขอมือ แต่เป็นคำสั่งไปถึงขั้นการเข้าจู่โจมอะไรด้วย ทั้งนี้เวลาทำการตลาด เขาจะเรียกว่าหมาผู้พิทักษ์ส่วนตัว (Personal Protection Dog) ที่มีความสามารถระดับใช้ในกองทัพ (Military grade)
ซึ่งจริงๆ มันก็คือหมาที่เราสามารถสั่งให้มันไปกัดคนได้นั่นแหละ แต่เขาไม่อยากจะทำการตลาดแบบนั้นให้มันน่ากลัว โดยที่จริงชื่อ Svalinn นั้นเอามาจากโล่ในตำนานนอร์สที่เป็นอาวุธเอาไว้ปกป้องโลกจากการแผดเผาของดวงอาทิตย์ แต่ประเด็นที่คนอาจสงสัยคือราคาระดับมหาโหดของหมาจากฟาร์มสวาลินน์นี่จะหาคนซื้อได้อย่างไร คำตอบก็คือ มันก็มีตลาดของมัน เพราะสำหรับคนที่ยอมจ่ายเงินหลักล้านเพื่อซื้อหมาที่ฝึกมาแล้วเป็นอย่างดี หมาสวาลินน์คือคำตอบที่ได้ครบ เพราะก็ไม่ใช่ว่า หมาผู้พิทักษ์ส่วนตัว จะถูกฝึกมาดีขนาดนี้
และก็อย่างที่บอก คือระดับการฝึกเป็นแบบที่ใช้ในกองทัพ ได้ นี่คือความไม่ธรรมดาและที่มาของราคาสุดโหด อย่างไรก็ตาม จำนวนหมาที่ขายไม่ได้มีเยอะ ปกติฟาร์มสวาลินน์จะมีหมาผ่านหลักสูตรออกมาขายปีละไม่เกิน 20 ตัว โดยในปัจจุบันมีหมาสวาลินน์ไม่ถึง 400 ตัวด้วยซ้ำ พูดง่ายๆ ก็คือเป็นของหายากที่แม้แต่คนรวยๆ ก็ยังต้องแย่งกันซื้อ
โดยก่อนซื้อทางฟาร์มก็จะมีการสัมภาษณ์จริงจังว่าจะเลี้ยงได้จริงไหม และก็มี 'บริการหลังการขาย' แบบยอดเยี่ยมในระดับที่จะคอยเช็กเรื่อยๆ ว่าหมามีปัญหาอะไรไหม หรือถ้าหมามีนิสัยที่ไม่ดีมา ฟาร์มก็จะช่วยแก้ไข หรือถ้าต้องไปต่างประเทศยาวๆ ทางฟาร์มก็จะมารับหมาไปดูแลให้ และนำส่งคืนเมื่อเจ้าของกลับมา