สองผัวเมีย ร้องสมาคมสื่อรอบ 2 หลังเจ้าหน้าที่ระดับอำเภอ/ทต.ไม่สนใจคำสั่งผู้ว่า ฯและสำนักนายกรัฐมนตรี
( 2 มิ.ย.) ที่ศูนย์ข่าวนคร 24 ชม.สมาคมสื่อมวลชนจังหวัดนครศรีธรรมราช นายจีระพจน์ จันทร์แก้ว อายุ 52 ปี อยู่บ้านเลขที่ 84 หมู่ที่ 4 ต.การะเกด อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช พร้อมภรรยาและญาติ ๆได้เดินทางเข้าร้องเรียนขอความเป็นธรรมเป็น โดยนำคำสั่งจังหวัดนครศรีธรรมราชที่มีไปถึงนายอำเภอเชียรใหญ่ และนายกเทศมนตรีตำบลการะเกด อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช นำเอกสารลงวันที่ 7 พฤษภาคม 2567 ให้ตรวจสอบเรื่องที่ตนได้ร้องเรียนขอความเป็นธรรมกรณี การบุกรุกทางสาธารณประโยชน์ ในพื้นที่หมู่ที่ 6 ต.การะเกด อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช ลงวันที่ 11 มี.นาคม 2567 และสำเนาเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ ผ่านระบบการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี จำนวน 1 ชุด ลงวันที่ 18 เม.ย. 2567
โดยจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งทางจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้กำชับว่าบัดนี้ระยะเวลาล่วงเลยมานานพอสมควรแล้ว จังหวัดนครศรีธรรมราช ยังไม่ใด้รับรายงานผลการดำเนินการในกรณีดังกล่าว จึงขอให้อำเภอเชียรใหญ่ และเทศบาลตำบลการะเกด เร่งรัดดำเนินการแก้ไขปัญหาให้แล้วเสร็จ พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินการให้จังหวัดนครศรีธรรมราชทราบ ภายใน 15 วันนับแต่ได้รับหนังสือฉบับนี้
นายจีระพจน์ จันทร์แก้ว กล่าวว่าหลังจากตนร้องเรียนขอความเป็นธรรมกับทางจังหวัดและศูนย์ข่าวนคร 24 ชม. สมาคมสื่อมวลชนจังหวัดนครศรีธรรมราช และจังหวัดได้มีหนังสือสั่งการไปยังนายอำเภอเชียรใหญ่ และนายกเทศมนตรีตำบลการะเกด อ.เชียรใหญ่ แล้ว 2 ครั้ง แต่เจ้าหน้าที่ในระดับพื้นที่ยังไม่ได้ข้าไปตรวจสอบหรือดำเนินการใด ๆ อย่างเป็นรูปธรรม ปัญหาจึงไม่ได้รับการแก้ไขใด ๆ เหมือนคำสั่งผู้ว่า ฯหรือจังหวัดนครศรีธรรมราชไม่มีความหมายใด ๆ ทั้งสิ้น และบ้านที่กลางถนนสาธารณะก็ยังไม่มีการรื้อถอนใด ๆ
“แทนที่จะดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา กลับพยายามเตะถ่วงเวลาไม่ได้ดำเนินการตามคำสั่ง พยายามปกปองช่วยเหลือผู้ที่กระทำความผิด ล่าสุดผู้นำท้องถิ่นในพื้นที่เข้ามาเจรจาในเชิงข่มขู่ตนและครอบครัวในฐานะผู้เสียหาย โดยผู้นำท้องถิ่นยอมรับว่าบ้านหลังดังกล่าวก่อสร้างในที่สาธารณะจริงตามที่ตนร้องเรียน แต่กลับอ้างว่าด้านหลังบ้านของตนติดลำคลองซึ่งตนสร้างเป็นที่จอดรถและราวตากผ้าก็อาจจะรุกลุกล้ำที่สาธารณะด้วย หากรื้อบ้านที่อยู่กลางถนนออกและมีคนร้องเรียนว่าหลังบ้านตนรุกล้ำที่สาธารณะก็ต้องรื้อออกด้วย ตนยืนยันและพร้อมให้ทุกหน่วยมีการตรวจสอบพื้นที่โฉนดที่ดินของตน อย่างไรก็ตามตนคิดว่ามันเป็นคนละประเรื่องกันแล้ว ตนเป็นผู้ร้องและเป็นผู้เสียหายให้ตรวจสอบการสร้างบ้านกลางถนนซึ่งเป็นที่สาธารณะ จังหวัดและสำนักนายกรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งให้ตรวจสอบในเรื่องที่ตนร้อง ทำไมไม่ตรวจสอบและหากพบว่ารุกล้ำที่สาธารณะจริงก็มีคำสั่งให้รื้อถอนเรื่องจบ แต่กลับไปหยิบเรื่องโน้นมาเชื่อมโยงกับเรื่องนี้เพื่อเตะถ่วงเวลาช่วยเหลือคนผิดใช่หรือไม่ ซึ่งหากดำเนินการในเรื่องที่ตนร้องเสร็จสิ้นใครจะร้องว่าตนมีสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำคลองสาธารณะก็เข้ามาตรวจสอบตามที่ได้รับการร้องเรียนก็ดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย หากพบว่ารุกล้ำจริงตนก็พร้อมรื้อถอนทันที”
นายจีระพจน์ จันทร์แก้ว กล่าวอีกว่า ตนจะไปยื่นคำร้องให้สำนักงานที่ดินเข้ามาตรวจสอบรังวัดโฉนดที่ตนของตน และจะปักหลักหมุดโฉนดที่ดินของตนให้ชัดเจนอีกครั้งเพื่อป้องกันเจ้าหน้าที่ใช้ข่มขู่แอบอ้าง นอกจากนี้จะเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องทุกคนที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ พร้อมยื่น ปปช.ให้เข้าดำเนินการตรวจสอบอีกทางหนึ่ง ตามมาตรา 157 และกรณีที่ผู้นำท้องถิ่นอ้างว่าในข้อเท็จจริงไม่เฉพาะบ้านที่สร้างกลางถนนตามที่ตนร้องเรียนเพียงแห่งเดียว แต่ยังมีการบุกรุกที่สาธารณะมีการสร้างบ้านหรือทำประโยชน์ในที่ดินสาธารณะมากหมายหลายแห่ง ตนคิดว่าผู้นำท้องถิ่นคนดังกล่าวก็ให้ผู้บุกรุกสร้างบ้านบนถนนรายนี้รื้อถอนไปสร้างในจุดอื่นที่ไม่ปิดขวางทางเข้าออกส่งผลกระทบต่อผู้อื่น แต่หากยืนยันแบบนี้เท่ากับว่าผู้นำท้องถิ่นรู้เห็นเป็นใจให้มีการบุกรุก รุกล้ำที่สาธารณะแทนที่จะห้ามปรามกลับเพิกเฉยเข้าข่ายปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยหรือไม่ เมื่อเจ้าหน้าที่ปล่อยปละละเลย เตะถ่วงช่วยเหลือผู้กระทำความผิดกับแบบนี้มันบ่งชี้ชัดเจนว่าเจ้าหน้าที่และผู้นำท้องถิ่นปกป้องช่วยเหลือคนผิด ตนจะต่อสู้ในเรื่องนี้จนถึงที่สุด เพื่อพิสูจน์ว่าบ้านนี้เมืองนี้ยังมีกฎหมาย ยังมีขื่อมีแปอยู่หรือไม่ หรือปล่อยให้ต่างคนต่างอยู่และใครมีอำนาจ มือใครยาวสาวได้สาวเอาอย่างนั้นหรือ นายนายจีระพจน์ จันทร์แก้ว กล่าวในที่สุด.
เครดิตภาพ:ไพฑูรย์ อินทศิลา/ นครศรีธรรมราช
อ้างอิงจาก: :ไพฑูรย์ อินทศิลา/ นครศรีธรรมราช

















