ที่สุดแห่งการบำเพ็ญเพียร จนกลายร่างเป็น "มัมมี่พระ"
" โซกุชินบุตสึ " ที่สุดแห่งการบำเพ็ญเพียร จนกลายร่างเป็น " มัมมี่พระ "
ในโลกที่กว้างใหญ่ใบนี้มีเรื่องราวต่างๆที่หลากหลาย ซึ่งผู้คนอาจจะไม่เคยได้ยิน ได้ฟังมาก่อน อาจเกิดจากความเชื่อ ความศรัทธาที่แรงกล้า .....เกินกว่าที่มนุษย์ทั่วไปจะปฏิบัติได้ เพื่อให้บรรลุธรรมขั้นสุด
หากพูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับ " มัมมี่ " ใครหลายคนก็คงนึกถึง พวกมัมมี่ของฟาโรห์ แห่งดินแดนอียิปต์หรือไอยคุปต์โบราณ ที่หลังจากความตาย ร่างที่ไร้วิญญาณได้ถูกเข้าสู่กระบวนการ " ทำมัมมี่ " โดยพวกพระนักบวชจะเป็นผู้ประกอบพิธีกรรมให้ เพื่อให้ร่างกายนั้น คงสภาพอยู่ได้หลายร้อยหลายพันปี โดยไม่เน่าเปื่อยผุพัง แต่เรื่องราวที่จะเล่าสู่กันฟังในวันนี้ เป็นเรื่องราวของพระนักบวชญี่ปุ่น นิกายชินงอน(Shingon) ผู้มีจิตใจที่เด็ดเดี่ยวและมีศรัทธาที่แรงกล้า ที่จะเป็นผู้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ทำให้ร่างกายเป็น " มัมมี่ " (Self-Mummification)โดยกระบวนการเริ่มทำตั้งแต่ที่ท่านยังมีชีวิต..มีลมหายใจอยู่
กระบวนการที่ทำให้ร่างกายเป็น " มัมมี่พระ " นั้นแท้จริงคือการบำเพ็ญเพียรรูปแบบหนึ่งของพระญี่ปุ่น นิกายชินงอน ซึ่งเป็นพุทธสายวัชรยาน เรียกกระบวนการทำมัมมี่ด้วยตนเองว่า " โซกุชินบุตสึ "(Sokushinbutsu) ซึ่งพบมากในหลายที่ของญี่ปุ่น แต่ที่พบมากคือ ในแถบยามากะตะ(Yamagata) ทางตอนเหนือ ในช่วงศตวรรษที่ 11-19 การทำมัมมี่ด้วยตนเองนี้ไม่ถือว่าเป็นการฆ่าตัวตาย แต่เป็นรูปแบบหนึ่งของการ " บรรลุธรรม " โดยเชื่อว่าเพื่อให้ร่างกายเป็นอมตะดำรงอยู่ตลอดไป จนกว่าพระพุทธเจ้าจะเสด็จกลับมายังโลกอีกครั้ง ซึ่งอาจจะหมายถึงยุคพระศรีอาริย์ ปัจจุบันนี้ ประมาณกันว่ามีมัมมี่พระหลงเหลืออยู่ 24 รูป หากพระรูปหนึ่งต้องการที่จะเป็น " มัมมี่พระ " ก็เท่ากับท่านตัดสินใจแล้วว่า จะสละโลกนี้ไป โดยพระรูปนั้นจะต้องเข้าสู่กระบวนการบำเพ็ญเพียร ซึ่งทั้งหมดอาจใช้เวลาราว 3,000 วัน หรืออาจยาวนานถึง 10 ปี โดยแบ่งเป็น 3 ช่วง ช่วงละ 1,000 วัน
โดย 1,000 วันแรกนี้ พระต้องงดอาหาร ประเภทเนื้อสัตว์ แม้กระทั่งผักผลไม้ก็งดเว้น แต่ฉันเฉพาะเมล็ดพืชต่างๆ ที่หาได้ตามป่าตามเขาเท่านั้น นอกจากนี้ พระยังต้องไปบำเพ็ญเพียรหลายรูปแบบ อาทิเช่น ไปนั่งสมาธิในถ้ำลึกๆ มืดๆ ถ้ำใต้ดิน หรือบางทีก็ไปนั่งสมาธิอยู่ใต้น้ำตกที่หนาวเย็น ซึ่งนักวิเคราะห์ในปัจจุบันกล่าวว่า เป็นกระบวนการนำไปสู่การ " ทำลายไขมัน " ในร่างกายออกไปให้เหลือน้อยที่สุด เวลาเป็นมัมมี่ร่างกายจะได้ไม่เน่าเปื่อย พอผ่าน 1,000 วันแรกไป (ราวเกือบ 3 ปี) ก็จะออกจากป่ามาจำวัด โดยจะเลิกฉันพวกเมล็ดพืช เปลี่ยนมาเป็นฉันแค่เปลือกและรากของต้นสนเท่านั้น เรียกว่า " โมกุจิคิเกียว "(Mokujikigyo) ซึ่งแปลว่ากินต้นไม้ โดยแต่ละวันจะนั่งวิปัสสนากรรมฐาน บำเพ็ญสมาธิอยู่ตลอดเวลา เป็นระยะเวลาอีก 1,000 วัน
ส่วนในช่วง 1,000 วันสุดท้าย พระจะฉันชาชนิดพิเศษ ซึ่งเชื่อกันว่ามีส่วนผสมของ น้ำยางชนิดหนึ่งจากต้น " อุรุชิ " (Urushi) ซึ่งเป็นต้นไม้ที่เอาเปลือกมาทำน้ำยาเคลือบแบบจีน รวมถึงฉันชาที่มีส่วนผสมของเกลือจากน้ำพุร้อนศักดิ์สิทธิ์ โดยมีการนำเกลือนี้ไปวิเคราะห์พบว่า มีสารหนูเป็นปริมาณมาก (เชื่อกันว่า สารหนูน่าจะมีส่วนทำให้แบคทีเรีย ไม่สามารถทำลายร่างกายได้ ร่างกายจึงไม่เน่าเปื่อยหลังเสียชีวิต)
ในช่วงท้ายๆนี้ อวัยวะและส่วนต่างๆในร่างกายพระจะหดหมด เพราะการอดอาหารและทำสมาธิภาวนา นำ้หนักตัวจะเบาหวิว เมื่อลงไปอาบน้ำ ร่างกายจะลอยน้ำได้ จนต้องให้ลูกศิษย์คอยกดเอาไว้ พระบางแห่ง ในระยะสุดท้ายจะปฎิบัติไปเรื่อยๆ จนในที่สุดจะงดน้ำ จนร่างกายแห้งลงและถึงแก่ความตายในที่สุด แต่ในบางที่ พอช่วงท้ายๆพระจะยอมรับความตาย โดยให้ลูกศิษย์นำร่างกายในท่านั่งสมาธิไปฝั่งทั้งเป็น ไว้ในสุสานใต้ดิน ที่มีขนาดพอดีกับตัวคน พระจะนั่งวิปัสนาอยู่ใต้ดิน โดยจะทำไม้ไฝ่เป็นท่อไว้สำหรับหายใจ พระจะสั่นกระดิ่งวันละครั้ง เพื่อให้ลูกศิษย์ทราบว่ายังมีชีวิตอยู่
เมื่อใดที่ได้ยินเสียงกระดิ่งเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ลูกศิษย์ก็จะปล่อยสุสานเอาไว้อย่างนั้นอีก 1,000 วัน รวมเป็น 3,000 วันแล้วจึงขุดศพขึ้นมา ถ้าขุดศพขึ้นมาแล้วร่างกายแห้ง ไม่เน่าไม่เปื่อย ก็จะได้รับการบูชาอย่างสูง ถือเป็น " พระมัมมี่ที่ศักดิ์สิทธิ์ " สามารถบรรลุธรรมจริง และจะมีการแต่งกายให้พระมัมมี่ด้วยเครื่องแต่งกายของพระชั้นสูง
มีการบันทึกไว้ว่าพระรูปแรกทำมัมมี่ตัวเอง คือท่านโชจินในปีค.ศ 1081 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ต่อมาปี ค.ศ.1877 พระจักรพรรดิได้ประกาศห้ามทำพิธีกรรมนี้ ซึ่งสร้างปัญหาให้พระหลายรูป เนื่องจากการทำมัมมี่ตัวเองต้องใช้เวลายาวนาน และมีหลายรูปที่ปฏิบัติแต่ไม่สามารถบรรลุได้
อ้างจาก:the101.world/buddhist-mummy-in-japan