สงครามโลกครั้งที่สอง บทเรียนเลือดเนื้อจากไฟสงคราม
รอยแผลเป็นบนหน้าประวัติศาสตร์
สงครามโลกครั้งที่สอง มหาวิบัติครั้งยิ่งใหญ่ที่คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 70 ล้านคน ทิ้งความสูญเสียและบาดแผลให้กับมนุษยชาติ บทเรียนเลือดเนื้อที่ไม่อาจลบเลือน เตือนใจให้เราตระหนักถึงอันตรายของลัทธิชาตินิยม ความเกลียดชัง และความทะเยอทะยาน
จุดชนวนไฟสงคราม
สงครามครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างปุบปับ แต่เป็นผลพวงจากหลายปัจจัยที่สั่งสมมานาน เริ่มต้นจากความไม่พอใจต่อสนธิสัญญาแวร์ซายส์ที่ลงนามหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เยอรมนีต้องแบกรับภาระค่าเสียหายและถูกจำกัดอำนาจ
เงาของลัทธิฟาสซิสต์
ในช่วงทศวรรษ 1930 เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ปูทางให้ลัทธิฟาสซิสต์เติบโตขึ้นในหลายประเทศ ผู้นำเผด็จการอย่างอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ แห่งเยอรมนี เบนิโต มุสโสลินี แห่งอิตาลี และมารุยามะ มาซารุ แห่งญี่ปุ่น ต่างมุ่งสร้างอาณาจักร ขยายอิทธิพล และปลุกระดมชาตินิยม
การรุกรานและการขยายอิทธิพล
เยอรมนีเริ่มรุกรานดินแดนต่างๆ ฝรั่งเศสและอังกฤษไม่อาจหยุดยั้ง ปล่อยให้ฮิตเลอร์ได้ใจ ประกอบกับญี่ปุ่นโจมตีจีนและมุ่งหมายยึดครองเอเชียตะวันออก สงครามจึงปะทุขึ้นอย่างกว้างขวาง
สองฝ่ายที่ขัดแย้งกัน
สงครามโลกครั้งที่สองแบ่งฝ่ายออกเป็นสองฝ่ายหลักๆ ดังนี้
- ฝ่ายอักษะ: เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น
- ฝ่ายสัมพันธมิตร: อังกฤษ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต จีน และชาติอื่นๆ
สมรภูมิรบที่ดุเดือด
สงครามดำเนินไปอย่างโหดร้าย ผู้คนล้มตายนับล้าน สนามรบสำคัญๆ เกิดขึ้นทั่วโลก เช่น ยุทธภูมิสตาลินแกรดในรัสเซีย ยุทธภูมิเอล อะลาเมนในอียิปต์ และการยกพลขึ้นบกที่นอร์มังดีในฝรั่งเศส
จุดเปลี่ยนของสงคราม
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมสงครามหลังจากถูกญี่ปุ่นโจมตีที่เพิร์ลฮาร์เบอร์ พลังรบของฝ่ายสัมพันธมิตรเข้มแข็งขึ้น รุกคืบเข้าปราบปรามฝ่ายอักษะ
บทสรุปของมหาวิบัติ
สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงเมื่อเยอรมนีและอิตาลียยอมจำนนในปี 1945 ญี่ปุ่นยอมแพ้ตามมาในปี 1945 หลังถูกสหรัฐอเมริกาโจมตีด้วยระเบิดปรมาณูที่เมืองฮิโรชิมาและนางาซากิ