ทำความเข้าใจกับ เว็บไซต์ ความหมายและมีประโยชน์อย่างไรบ้าง ทำไมจึงควรให้ความสำคัญในยุคปัจจุบัน และความแตกต่างของเว็บไซต์แต่ละประเภท
ในยุคนี้ ผู้คนต่างให้ความสำคัญกับการท่องโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการเสพสื่อ ซื้อสินค้า และอื่น ๆ ทำให้เว็บไซต์ มีความสำคัญเป็นอย่างมากในยุคนี้ เนื่องจากมีการแพร่หลายของอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ทำให้สามารถเข้าถึงสื่อออนไลน์ ผ่านช่องทางเว็บไซต์หรือช่องทางอื่น ๆ ได้อย่างมากง่ายดายมากยิ่งขึ้น เว็บไซต์จึงมีความจำเป็นมากยิ่งขึ้นในยุคปัจจุบัน เพราะถือเป็นช่องทางในการให้ข้อมูลหรือการทำธุรกิจ อีกช่องทางหนึ่ง โดยในบทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจความหมายของเว็บไซต์ ประโยชน์ต่าง ๆ ภาษาที่ใช้สำหรับสร้างเว็บไซต์ และความแตกต่างของเว็บไซต์แต่ละประเภท
เว็บไซต์ คืออะไร โดยคำว่าเว็บไซต์ หรือชื่อภาษาอังกฤษ Website เป็นแหล่งที่ทำการรวบรวมข้อมูลไว้อย่างมากมาย โดยในเว็บไซต์ จะมีข้อมูลที่ปรากฏอยู่หลากหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นข้อมูลสินค้าและบริการ สื่อและข้อมูลต่าง ๆ อาศัยการใช้อินเทอร์เน็ต โดยการใช้เว็บเบราว์เซอร์ จะเป็นในลักษณะของ World wide web หรือตัวย่อ www. เพื่อค้นหาข้อมูลและเว็บไซต์ทางออนไลน์
โดยในปัจจุบันภาษาที่ใช้ในการพัฒนาเว็บไซต์ มีหลากหลายมากยิ่งขึ้น เช่น CSS, Javascript เพื่อสร้างเว็บ ให้ตอบโจทย์กับยุคปัจจุบันมากยิ่งขึ้น ทำให้เว็บไซต์มีการออกแบบหน้าตาของเว็บไซต์ให้สวยงาม น่าใช้งาน รวมไปถึงสร้างฟังก์ชันต่าง ๆ บนเว็บให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งานเว็บไซต์มากยิ่งขึ้น
โดยในปัจจุบัน จะมีเว็บไซต์หลัก ๆ ด้วยกันอยู่ 2 ชนิดนั่นก็คือ เว็บประเภท Static website และเว็บประเภท Dynamic Website โดยเว็บไซต์แต่ละประเภทจะมีรายละเอียดต่าง ๆ ดังนี้
โดยเว็บไซต์ประเภทแรกก็คือ Static website เป็นลักษณะเว็บไซต์แสดงลักษณะเนื้อหาตามเดิม ไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนเนื้อหาการแสดงผล หรือข้อมูลต่าง ๆ บนเว็บไซต์ตามผู้ใช้งาน โดยเว็บไซต์ประเภทนี้จะเป็นเว็บไซต์แบบดั้งเดิม ก่อนจะมีการพัฒนาเว็บเป็น Dynamic website เว็บโดยส่วนใหญ่ที่เป็นเว็บ Static website จะเป็นเว็บลักษณะการให้ข้อมูลเป็นหลัก
และเว็บไซต์ประเภท 1 นั่นก็คือ dynamic website dynamic website เป็นเว็บที่พัฒนามาต่อจาก static เว็บไซต์โดยมีการพัฒนาเพื่อให้ตอบโจทย์กับผู้เข้ามาใช้งาน โดยจะมีการปรับเปลี่ยนเนื้อหาตามลักษณะการใช้งานของผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของสินค้าและบริการ ส่วนใหญ่มักจะเป็นเว็บไซต์ที่นำเสนอพวกสินค้าและบริการตามความต้องการของผู้ใช้งาน ทำให้สร้างโอกาสในการขายสินค้าและบริการ แก่ธุรกิจได้ง่ายดายมากกว่า Static Website ที่ไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาให้ตอบโจทย์กับผู้เข้าใช้งานได้
โดยเปิดโดยในยุคปัจจุบันมีการพัฒนาภาษาสำหรับการสร้างเว็บไซต์มาหลากหลายภาษาแต่จะมีภาษาหลักๆที่ใช้อยู่ในปัจจุบันด้วยกันทั้งหมด 3 ภาษานั้นก็คือ html css และ javascript เพื่อทำให้ตอบโจทย์กับผู้เข้าใช้งานเว็บ และมีลูกเล่นต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น โดยความแตกต่างของแต่ละภาษาจะมีรายละเอียดดังนี้
ภาษา html เป็นภาษาสำหรับสร้างเว็บไซต์ในยุคเริ่มต้น โดยเป็นภาษาแรก ๆ สำหรับการทำเว็บไซต์ โดยภาษา html ย่อมาจากคำว่า Hypertext mark up language โดยเว็บเบราว์เซอร์จะมีหน้าที่แสดงผลไฟล์ html ที่เราได้ทำการสร้างไว้โดยจะมีการแสดงผลข้อมูลต่าง ๆ เช่น ตัวอักษร ภาพ วิดีโอ เสียง
และต่อมามีการพัฒนาภาษาเพิ่มมาอีกหลายภาษาโดยภาษาที่มีการพัฒนาและเป็นหลักภาษาในยุคนี้สำหรับพัฒนาเว็บไซต์ นั่นก็คือภาษา css ซึ่งภาษา css มีหน้าที่ในการใช้ปรับแต่งไฟล์ html โดยจะเน้นไปในด้านของการแสดงผลเว็บไซต์ ให้มีความสวยงามมากยิ่งขึ้น เช่น เรื่องของความกว้างหน้าเว็บ การปรับแต่งสีพื้นหลัง สีตัวอักษร รูปภาพ รวมไปถึงขนาดตัวอักษร ทำให้เกิดความน่าใช้งานเมื่อผู้เข้าใช้งานมาคลิกเข้ามาใช้งานในหน้าเว็บไซต์ โดยภาษา css เป็นส่วนเสริมที่จะทำให้ HTML มีความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
และต่อมาอีกหนึ่งภาษาหลักที่ใช้ในการเขียนเว็บไซต์ นั่นก็คือ ภาษา javascript โดย javascript จะเป็นตัวภาษาที่ใช้สำหรับการสร้างฟังก์ชันต่าง ๆ ของเว็บไซต์ให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งานตามที่พัฒนาทำการออกแบบวางแผนเว็บไซต์ไว้ เช่น การคำนวณข้อมูลต่าง ๆ สร้างเอฟเฟค รวมถึงการสร้างลูกเล่นต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประโยชน์และฟังก์ชันการใช้งานของเว็บไซต์ให้ตอบโจทย์กับผู้เข้าใช้งาน
ใน Web 2.0 เป็นรูปแบบหนึ่งของเว็บไซต์เกิดจากการพัฒนาในส่วนของWeb 1.0 และWeb 2.0 ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเป้าหมายของการพัฒนาจะเน้นไปที่การเขียนอ่าน รวมถึงการเป็นเจ้าของ โดยเจ้าของข้อมูลมีสิทธิ์ที่จะใช้ ตัดสินใจเกี่ยวกับข้อมูลต่าง ๆ ได้มากขึ้น โดยมีโดยมีประเด็นที่สำคัญ ๆ ดังนี้ 1. คือเพิ่มการมีส่วนร่วม 2. การเพิ่มการสื่อสารได้เสมอภาคมากยิ่งขึ้น 3. ยกระดับความเป็นส่วนตัว จะมีการใช้ machine learning, blockchain, big data รวมถึงเทคโนโลยีเพื่อมาประสานการทำให้สามารถใช้งานได้แบบอัตโนมัติ รวมถึงมีความสามารถในการจำแนกและวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ให้ดีและมีความคล้ายคลึงกับมนุษย์มากยิ่งขึ้น
โดยในเว็บ 1.0 จะมีจะมีเป้าหมายไปในพัฒนาในเว็บไซต์ในลักษณะของการใช้การสื่อสารทางเดียวหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า one way communication จะมีเป้าหมายไปในพัฒนาในเว็บไซต์ในลักษณะของการใช้การสื่อสารทางเดียวหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า one way communication เพื่อใช้สำหรับการอัปโหลดและดาวน์โหลดสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล หรือสื่อต่าง ๆ
ในขณะที่เว็บ 2.0 จะเป็นการพัฒนาเพื่อให้มีการโต้ตอบกันเป็นลักษณะของ two way communication ทำให้สามารถมีการพูดคุยโต้ตอบกันได้อย่างง่ายดายและอิสระมากยิ่งขึ้นเช่น social media ต่างๆ
โดยเหตุผลที่เจ้าของธุรกิจควรมีเว็บไซต์ของตนเอง จะประกอบไปด้วยเหตุผลหลักๆ 3 ข้อดังนี้ ในการดำเนินธุรกิจโดยใช้เว็บไซต์เป็นช่องทางหนึ่ง
การสร้างเว็บไซต์ถือเป็นสร้างโอกาสในการเติบโตของธุรกิจ เพราะจะมีช่องทางการขายสินค้าและบริการมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ลูกค้าที่เข้ามาเยี่ยมชมยังเว็บไซต์ สามารถเลือกอ่านข้อมูลของสินค้าและบริการได้ ทำให้ลูกค้าเข้าใจถึงสินค้าและบริการของเจ้าของธุรกิจ เพิ่มความสามารถในการตัดสินใจการซื้อสินค้าและบริการ และยังสร้างความเชื่อมั่นในการตัดสินใจสั่งซื้อ
มีส่วนช่วยในการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ เนื่องจากการมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองจะทำให้สามารถทำการตลาดผ่านช่องทางเว็บไซต์ได้อีกช่องทางหนึ่ง ส่งผลให้เป็นที่รู้จักและมีผลมากในยุคออนไลน์ เนื่องจากผู้คนมักทำการค้นหาสินค้าจาก search engine ต่าง ๆ การมีหน้าเว็บไซต์เป็นของตัวเองจะเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือเมื่อลูกค้าเข้ามาเห็นเว็บไซต์และเห็นข้อมูลต่าง ๆ ของแบรนด์ทำให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจ ทำให้กล้าซื้อสินค้าและบริการ
การทำเว็บไซต์ถือเป็นการสร้างการทำการตลาด ให้มีความหลากหลายรูปแบบมากยิ่งขึ้น เพราะเว็บไซต์สามารถทำการโปรโมทสินค้าได้หลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาเว็บไซต์เพื่อให้ตอบโจทย์ในด้านของ search engine ไม่ว่าจะเป็นในด้านของ seo รวมถึง sem และสามารถนำเว็บไซต์ไปทำการการตลาดต่าง ๆ ผ่านลิงก์ referal โดยการฝังลิงก์ในโพสต์ รวมถึง affiliate marketing ของ influencer ทำให้ลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายที่เห็นสินค้าและบริการสามารถคลิกเข้ามาดูรูปแบบของสินค้าและบริการทำให้เข้าใจสินค้าและบริการ รวมถึงตัดสินใจสั่งซื้อได้อย่างง่ายดายมากยิ่งขึ้น