คำทำนายวันสิ้นโลกจาก"นักวิทยาศาสตร์"
เราอาจได้ยินคำทำนายวันสิ้นโลกมาบ่อยแล้วไม่ว่าจะเป็นของปฏิทินมายา นอสตราดามุส หรือหมอดูชื่อดังท่านอื่นๆ แต่ถ้าหาก “ผู้ทำนาย” เป็น “นักวิทยาศาสตร์” ล่ะเขาจะทำนายว่าอะไรกันบ้าง!?
1.
ไอแซก นิวตัน
นักวิทยาศาสตร์ผู้คิดค้นทฤษฎีแรงโน้มถ่วงที่มีชีวิตอยู่ในช่วงปีค.ศ.1642-1727 ได้พยากรณ์โดยอ้างอิงการตีความจากพระคัมภัร์ไบเบิลว่าชาวยิวจะกลับไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก่อนวันสิ้นโลก ซึ่งเมื่อถึงวันนั้นเราจะได้เห็น “การล่มสลายของชนชาติที่ชั่วร้าย จุดจบของเสียงร่ำไห้และความทุกข์ยาก การกลับคืนของชาวยิวที่ถูกกักขัง และการสร้างอาณาจักรที่รุ่งเรืองและเป็นนิรันดร์ของพวกเขา”
นิวตันศึกษา “หนังสือแห่งนักบุญเดเนียล” (Book of Daniel) ซึ่งเป็นบทเพิ่มเติมของคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม (the Old Testament) ว่าด้วยประวัติและคำทำนายของ “ดาเนียล” ศาสดาพยากรณ์ชาวอิสราเอลในช่วงที่อยู่ใต้การปกครองของอาณาจักรบาบิโลน และให้ความเห็นสนับสนุนคัมภีร์ทางศาสนาของยิวหรือ “อะโพคาลิปส์” (Apocalypse) ว่าโลกจะถึงจุดสิ้นสุดในปีที่ 2060 หรือหลังก่อตั้งอาณาจักรโรมัน 800 ปีหลังคริสตกาล
ทั้งหมดนี้มีหลักฐานเป็นข้อความที่เขียนด้วยลายมือโดยนิวตันดังกล่าวไว้ว่า“มันอาจจะเกิดหลังจากนั้น แต่ข้าพเจ้าก็ไม่เห็นเหตุผลที่โลกจะพบจุดจบเร็วกว่านี้” และ “สิ่งที่ข้าพเจ้าให้ความเห็นไปนี้ไม่ได้เพื่อสนับสนุนว่าวันสิ้นโลกจะต้องเป็นไปตามนั้น แต่เพื่อจะหยุดการคาดเดาที่ไม่รอบคอบของคนที่ชอบนึกขึ้นเองและมักจะทำนายถึงวันสิ้นโลก และการกระทำแบบนั้นทำให้คำทำนายที่ไม่ควรล่วงละเมิดต้องถูกทำลายความน่าเชื่อบ่อยครั้งเท่าที่การคาดเดาของคนเหล่านั้นไม่เป็นจริง”
เอกสารลายมือของนิวตันนี้ถูกจัดแสดงครั้งแรกในปี 1969 เป็นต้นมาโดยถูกเก็บรักษาในห้องสมุดแห่งอิสราเอลซึ่งมีเพียงนักศึกษากลุ่มเล็กๆ เท่านั้นที่ได้เห็น
2.
สตีเฟน ฮอว์คิง
นักฟิสิกส์ผู้มีตำแหน่งศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ซึ่งได้ล่วงลับไปในปี 2018 ถึงแม้จะต้องสู้กับโรคร้ายแต่เขาก็มีผลงานสำคัญจารึกไว้บนโลกไม่ว่าจะเป็นการบัญญัติทฤษฎีบทเกี่ยวกับภาวะเอกฐานเชิงความโน้มถ่วงในกรอบของทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ร่วมกับโรเจอร์ เพนโรส และการทำนายเชิงทฤษฎีที่ว่าหลุมดำควรปล่อยรังสี (รังสีฮอว์กิงหรือรังสีเบเคนสไตน์-ฮอว์กิง)
ในปี 2017 เขาได้คาดการณ์ไว้ว่ามนุษย์จะเหลือเวลาบนโลกอีกแค่ 100 ปีเท่านั้นจากปัจจัยของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก อุกกาบาตพุ่งชนโลก และการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก
“แม้ว่าโอกาสของการเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่บนโลกในแต่ละปีจะดูน้อย แต่มันจะเพิ่มขึ้นทุกปี และในอีกพันปีหรือหมื่นปีข้างหน้าภัยพิบัติรุนแรงจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน” ฮอว์คิงให้สัมภาษณ์กับสารคดี “The Search For A New Earth”
ในปีเดียวกันเขายังให้สัมภาษณ์กับ BBC ว่าสภาพอากาศของโลกเรากำลังจะเปลี่ยนไปเป็นแบบเดียวกับดาวศุกร์ ซึ่งสภาพอากาศของดาวศุกร์คืออุณหภูมิสูงถึง 250 องศาเซลเซียสและมีฝนตกลงมาเป็นกรดซัลฟิวริก และความโลภของมนุษย์ยังเป็นอุปสรรคต่อการแก้ไขภาวะโลกร้อน มนุษย์ควรทิ้งโลกนี้ไปและปล่อยให้ระบบนิเวศฟื้นฟูตามธรรมชาติ
นอกจากนี้เขายังกังวลเรื่องของปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่จะมาแทนที่มนุษย์ หาก AI พัฒนาขึ้นจนมีความสามารถไม่ต่างจากสมองมนุษย์อาจจะเกิดการล้ำเส้นที่คาดไม่ถึงขึ้น
3.
กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ยุคปัจจุบัน
นักวิทยาศาสตร์ได้ประเมินภัยคุกคามที่อาจทำให้โลกของเราสูญสิ้นทั้งจากน้ำมือมนุษย์และปัจจัยอื่น ๆ โดยภัยคุกคามที่มีโอกาสเกิดขึ้นสูงและยากจะรับมือได้แก่
3.1
โรคระบาด
คาดว่าทุกคนคงเห็นผลกระทบจากโควิด-19 ที่ทำให้คนตายไปมากกว่า 7 ล้านคนทั้งยังทำเศรษฐกิจแน่นิ่งไป 3 ปี แต่โรคระบาดครั้งใหญ่ที่อาจทำลายมนุษย์ทั้งโลกอาจเป็นโรคชนิดอื่นได้อีกไม่ว่าจะเป็น ไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัดนก อีโบล่า กาฬโรค ซาร์ส หรือแม้แต่โรคอุบัติใหม่ที่เราไม่คาดคิด
3.2
สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง-ภาวะโลกร้อน
เหตุการณ์ที่ผู้คนมักมองเป็นเองไกลตัวมั้งๆที่เรากำลังเผชิญผลกระทบจากมันอยู่ทุกวัน ตั้งแต่คลื่นความร้อน ไฟป่า น้ำท่วมหนักในเอเชีย อากาศหนาวจัดในอเมริกา และน้ำแข็งขั้วโลกที่ละลาย
นักวิจัยบางคนถึงกับบอกว่า “เรากำลังอยู่ท่ามกลางเหตุการณ์การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ระดับโลก ซึ่งเทียบได้กับการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ หากไม่มีเราโลกจะสามารถเข้าถึงจุดสมดุลได้อีกครั้งและอาจถึงขั้นสร้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ใหม่ที่ฉลาดกว่าด้วยซ้ำ”
ผู้เชี่ยวชาญคาดว่า “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์อาจทำให้อุณหภูมิโลกโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 4 องศาฯ” พรืออุณหภูมิโลกโดยเฉลี่ยอาจสูงถึง 6 องศาฯ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ หากอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆ ก็อาจทำให้เกิดภาวะเรือนกระจกที่ควบคุมไม่ได้จนสุดท้ายโลกจะคล้ายดาวศุกร์มากขึ้นที่อุณหภูมิสูงสุดในวันปกติคือ 482 องศาฯ
3.3
สงครามนิวเคลียร์
ประเทศมหาอำนาจที่มีนิวเคลียร์ในครอบครองขัดแย้งกันเช่นสหรัฐอเมริกากับรัสเซียซึ่ง 2 ประเทศนี้มีหัวรบนิวเคลียร์มากที่สุดในโลก นอกจากนี้ประเทศอื่นๆที่ครอบครองนิวเคลียร์ก็ยังมี เช่น ฝรั่งเศส จีน อินเดีย ปากีสถาน เกาหลีเหนือ อังกฤษ และอิสราเอล ระเบิดนิวเคลียร์ในปัจจุบันพลังทำลายล้างก็รุนแรงยิ่งกว่าระเบิดนิวเคลียร์ที่อเมริกาถล่มญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เสียอีก
นอกจากสงครามนิวเคลียร์ที่อาจเกิดเพราะความขัดแย้งแล้ว อุบัติเหตุหรือการสื่อสารที่คลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงก็อาจทำให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตัดสินใจยิงอาวุธนิวเคลียร์ออกไปได้เช่นกัน เช่นในช่วงทศวรรษที่ 1960 และปี 1995 ที่เจ้าหน้าที่รัสเซียตัดสินใจไม่ยิงนิวเคลียร์ตอบโต้และพบในภายหลังว่าสัญญาณเตือนผิดพลาด
สำหรับผลกระทบของระเบิดนิวเคลียร์นั้นนอกจากจะคร่าชีวิตคนในบริเวณที่เกิดการระเบิดในรัศมี 4 กิโลเมตรแล้วเมฆฝุ่นกับควันจะลอยขึ้นสูงถึง 30-60 กิโลเมตรและปกคลุมบดบังแสงจากดวงอาทิตย์ อุณหภูมิจะลดลงนานหลายปีและพืชจะสังเคราะห์แสงไม่ได้ซึ่งจะส่งผลให้เกิดภาวะขาดแคลนอาหาร นอกจากนี้ยังมีเรื่องกัมมันตภาพรังสีที่ส่งผลต่อร่างกายมนุษย์อีกด้วย
และทั้งหมดนี้ก็คือคำทำนายถึงมหันตภัยล้างโลกจากนักวิทยาศาสตร์ เรามาใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาทและดูแลโลกของเราให้ดีที่สุดกันเถอะ!
อ้างอิงจาก:
https://th.m.wikipedia.org/wiki/ไอแซก_นิวตัน
https://mgronline.com/science/detail/9500000071268
https://www.bbc.com/thai/articles/c9814359q4xo
https://ngthai.com/science/8709/predict-the-future-from-stephen-hawking/2/
https://th.m.wikipedia.org/wiki/สตีเฟน_ฮอว์กิง
https://spacebar.th/world/scientist-explain-how-will-the-world-end
https://mgronline.com/science/detail/9650000021656