กลรักสาวมีนกร ตอนที่ 1 ( ต่อ )
“ ฉันอยากให้เรียนต่อชั้นมัธยมปลาย เราจะได้เจอกันทุกวันเหมือนเมื่อก่อน แกไปเรียนที่วิทยาลัยประมง ฉันไม่เจอแกเลย เราเรียนไม่เหมือนกันเวลาที่ได้เจอกันก็ลดน้อยลง ฉันคงเหงาแย่เลยถ้าไม่ได้เจอแก ”
“ แกคงไม่มีเวลาคิดถึงฉันหรอก ได้ข่าวว่าไอ้ก้องเรียนต่อสายวิทย์คณิตเหมือนกับแกเลยนิ แกไม่เหงาหรอก เชื่อฉันสิถึงเวลานั้นแกคงลืมฉันไปแล้ว ” ชลธีเงียบ
“ คนเราแต่ละคนมีความชอบไม่เหมือนกัน แกจะมาบังคับให้ไอ้มัจเรียนเหมือนกับแกไม่ได้หรอกนะ แกบอกให้ไอ้มัจเรียนต่อเหมือนกับแกแล้วทำไมแกไม่ไม่มาเรียนทีเดียวกับไอ้มัจละ ” เข้มพูดกับชลธีตรง ๆ
“ วันไหนแกว่าง แกมาหาฉันที่วิทยาลัย วันไหนฉันว่าง ฉันไปหาแกที่โรงเรียนแล้วแวะไปทักทายคุณนายแค่คิดก็สนุกแล้ว ” บรรยากาศภายในร้านช่วงเวลากลางวันพลุกพล่านไปด้วยผู้คนที่แวะเข้ามากินก๋วยเตี๋ยวมีทั้งลูกค้าจรและลูกค้าประจำ เจ๊จุ่มและลูกน้องช่วยกันบริการดูแลลูกค้าเป็นอย่างดี
“ พรุ่งนี้ฉันไปรายงานตัวที่วิทยาลัยประมง ฉันจะให้พวกแกสองคนช่วยปลอมตัวเป็นพ่อกับแม่ให้ฉันหน่อย ”
“ ห๊ะ ! ปลอมตัว ” เข้มกับเบิ้มตอบพร้อมกัน มัจฉาบอกเข้มกับเบิ้มทั้งสองคนตกใจวางตะเกียบลงพร้อมกับพยักหน้า
“ ด้วยความยินดีครับคุณหนูมัจฉา ”
“ วิธีนี้มันเสี่ยงป้าเพ็ญรู้เข้าเป็นเรื่องใหญ่แน่เดี๋ยวแกก็โดนป้าเพ็ญดุหรอก ฉันว่าแกลองกลับไปคุยกับป้าเพ็ญอีกสักรอบดีไหม ” มัจฉาถอนหายใจ
“ คุณชลธีคะ ! คุณชลพูดกับเหมือนไม่รู้จักนิสัยของคุณนายเลยนะคะ คุณชลน่าจะรู้คำตอบอยู่แล้วยังจะให้ฉันเสนอหน้าไปบอกอีกทำไม คุณชลใช้ส้นตีนหรือใช้สมองคิดหรอค่ะ เรียนเก่งเสียเปล่าแต่เรื่องแบบนี้กลับโง่ ฉันแหละกลุ้มใจแทนผู้ปกครองจริง ๆ เลย ” มัจฉาเตือนสติชลธี
“ ลองดูอีกสักครั้งสิเผื่อครั้งนี้ป้าเพ็ญจะยอม ”
“ คุณนายไม่มีวันยอมให้ฉันเรียนสาขาวิชาประมงเด็ดขาด ทำไมแกเป็นคนเข้าใจอะไรยากแบบนี้ ”
“ ทำไมแกปอดแหกแบบนี้วะ ไอ้มัจให้พวกฉันสองคนปลอมตัวเป็นท่านพ่อ ท่านแม่ไม่ได้ให้แกไป ทำไมแกต้องกลัวด้วย ” เข้มอธิบายเหตุผลให้ชลธีเข้าใจ
“ ฉันเข้าใจตั้งนานแล้วเพียงแต่ว่าฉันไม่อยากให้ไอ้มัจทะเลาะกับป้าเพ็ญ ”
“ แกยังไม่ชินอีกหรอ ” ชลธีพยักหน้า
“ ฉันชินแล้วแต่ฉันเป็นห่วง ฉันไม่อยากเห็นแกทะเลาะกับป้าเพ็ญ แกดื้อแพ่งแบบนี้ระวังจะโดนป้าเพ็ญตี ” มัจฉาถอนหายใจ
“ คุณหนูมัจฉาไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ พรุ่งนี้กระผมจะเป็นท่านพ่อและท่านแม่ให้กับคุณหนูมัจฉารับรองไม่มีใครจับได้ ”
“ เรื่องเงินลงทะเบียนเรียนละ แกมีแล้วหรือยัง ถ้าแกยังไม่มีเอาของฉันไปก่อนฉันพอมีอยู่บ้างคงพอสำหรับการลงทะเบียนเรียนเทอมแรก ” ชลธีถามมัจฉาด้วยความเป็นห่วง
“ เงินของฉันยังพอมีเหลืออยู่บ้าง ฉันให้แกหมดตัวเลย ”
“ ฉันก็พอมีเหลืออยู่บ้าง แกเอาไปใช้ก่อนได้เลย ฉันกับไอ้เข้มทีทุนสำรับการเรียนจากผู้ใหญ่อยู่แล้ว ในตอนนนี้แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ากันไปก่อน ส่วนที่เหลือเราค่อยมาคิดหาวิธี ”
“ ขอบใจนะเลยแต่ฉันไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทะเบียน วิทยาลัยประมงมีนโยบายให้นักศึกษาเรียนฟรีจนจบหลักสูตรมีเพียงค่าใช้จ่ายปลีกย่อยอีกนิดหน่อย ” พุทธชาดบอกให้รีบมัจฉากลับบ้านแต่โทรศัพท์ของมัจฉาแบตหมดทำให้ไม่สามารถติดมัจฉา หลังจากกินก๋วยเตี๋ยวเสร็จ มัจฉาไปบ้านของเข้มและเบิ้มทั้งสามคนช่วยกันเลือกชุดสำหรับการปลอมตัวในวันพรุ่งนี้ ชลธีไม่เห็นด้วยกับวิธีเลยพยายามโน้มน้าวให้มัจฉาไปบอกเรื่องนี้กับเพ็ญจันทร์ พุทธชาดเป็นห่วงมัจฉามากพยายามโทรหามัจฉาแต่ไม่สำเร็จ เพ็ญจันทร์ไม่มีสมาธิทำงานออกมาสูดอากาศนั่งเล่นที่ศาลาริมน้ำท้ายสวน
“ ใกล้ค่ำแล้วทำไมมัจยังไม่กลับบ้าน ”
“ คุณมัจกลับบ้านช้าทุกวัน คุณพุดยังไม่ชินอีกหรอคะ อีกสักพักก็คงกลับ ”
“ พุดชินแล้วคะพี่เปรี้ยวแต่วันนี้มัจไปมีเรื่องชกต่อยกับโตและเพชร ป้ารอคุยกับมัจเรื่องนี้ยิ่งกลับมาบ้านช้าแบบนี้ ป้ายิ่งโกรธเข้าไปอีก เดี๋ยวก็ต้องทะเลาะกันอีก ”
“ นึกแล้วเชียว ทำไมวันนี้คุณผู้หญิงกลับมาไม่พูดกับใครเดินเข้าไปในห้องทำงาน เมื่อกี้พี่เห็นคุณผู้หญิงไปนั่งรับลมอยู่ที่ศาลาริมน้ำท้ายสวน ”
“ พุดหวังว่าวันนี้ป้ากับน้องจะไม่ทะเลาะกัน ”
“ คุณหนูของป้ามาอยู่ที่นี้นี่เอง ของที่คุณหนูให้ป้าเตรียมไว้เสร็จแล้วนะคะ ”
พิมพ์ภาออกมาจากในครัวเดินเข้าไปหาพุทธชาดกับเปรี้ยวที่กำลังคุยอยู่ในห้องโถง เพ็ญจันทร์ให้พิมพ์ภาดูแลความเรียบร้อยในบ้านทุกอย่างตั้งแต่สมัยสาว ๆ ทำให้พิมพ์ภารู้เรื่องทุกอย่างของคนในบ้านหลังนี้เป็นอย่างดีและเป็นผู้กุมความลับของเพ็ญจันทร์
“ คุณหนูค่ะ ป้าเตรียมของเสร็จแล้วนะคะ วันนี้คุณจะทำขนมอะไรค่ะ ” พุทธชาดถอนหายใจ
“ วันนี้คงไม่ได้ทำแล้วค่ะ มัจยังไม่กลับบ้าน พุดเป็นห่วงน้องไม่มีสมาธิทำเลยค่ะ ” เพ็ญจันทร์เดินมาหาพุทธชาดพร้อมกับถามหามัจฉา พุทธชาดเงียบ มัจฉากลับมาพอดีเดินเข้าไปกอดเพ็ญจันทร์กับพุทธชาดด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เพ็ญจันทร์ลูบหัวมัจฉาอย่างเบามือนึกย้อนกลับไปสมัยที่มัจฉายังเด็ก ความไร้เดียงสาสมัยวัยเยาว์ทำให้เพ็ญจันทร์เผลอยิ้มออกมา
“ สมัยเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย ทำไมโตขึ้นถึงได้ดื้อแบบนี้ ” เพ็ญจันทร์พูดในใจพร้อมกับถอนหายใจ
“ คุณนาย พี่พุด ป้าพิมพ์ พี่จี๊ดอยู่กันครบเลยนะ ”
“ ทำไมพึงกลับบ้าน พรุ่งนี้ต้องไปสมัครเรียน ทำไมไม่อยู่บ้านอ่านหนังสือเตรียมสอบมัวแต่ไปเที่ยวเล่นนอกบ้านจนไม่สนใจอ่านหนังสือ ถ้าหากสอบไม่ได้มัจจะทำยังไง ” มัจฉาเข้าใจผิดคิดว่าเพ็ญจันทร์ใจอ่อนยอมให้เรียนปวช.สาขาวิชาประมงตามที่ตัวเองต้องการ
“ คุณนายยอมให้มัจเรียนปวช.สาขาประมงแล้วใช่ไหม ” มัจฉายิ้ม
“ พรุ่งนี้ป้าให้มัจไปสมัครเรียนตัวมัธยมปลายต่างหากละ มัจจะเรียนเรียนอะไร วิทย์คณิต ศิลป์ภาษา หรือว่าไทยสังคมดีละ ป้าอยากให้มัจเรียนวิทย์คณิตนะลูก เรียนจบชั้นมัธยมปลายแล้วค่อยไปสอบเข้าคณะประมง มัจไม่เป็นต้องไปเรียนต่อปวช.ให้เสียเวลาเลยลูก สุดท้ายระดับปริญญาตรีมัจก็ต้องไปเรียนต่อคณะประมงอยู่ดี ป้าไม่ได้บังคับให้มัจไปเรียนคณะอื่น ๆ สักหน่อย ”
“ มัจไม่เรียน คุณนายอยากเรียนก็ไปเรียนเองสิ ” มัจฉาตะโกนเสียงดัง
“ ไอ้เด็กคนนี้พูดไม่รู้ฟังยังจะดื้ออีก ”
“ มัจไม่อยากเรียนมัธยมปลาย มัจเบื่อ มัจไม่ชอบการใช้ชีวิตในระบบการเรียนวิชาสามัญ สังคมการเรียนที่ต้องอยู่ในกฏระเบียบที่เคร่งครัด ” เพ็ญจันทร์เงียบแกล้งดุมัจฉา
“ วันนี้ไปไหนมา ทำไมพึงกลับบ้าน ”
“ มัจไปหาไอ้เข้มกับไอ้เบิ้ม ”
“ แน่ใจหรอว่าไปหาเข้มกับเบิ้มแล้วไม่ได้แวะไปไหน มีอะไรนอกเหนือจากนี้อีกไหม ลองคิดทบทวนให้ดูสิว่าวันนี้ไปทำอะไรมาบ้าง ” เพ็ญจันทร์ทำเสียงดุ
“ ทำไมคุณนายต้องเสียงดังด้วย วันนี้คุณนายพอใจมัจเรื่องอะไรอีกล่ะ ”
“ วันนี้ไปทำอะไรผิดมาละ มัจมีอะไรจะสารภาพกับป้าไหม ”
“ คุณนายพูดเรื่องอะไรมัจไม่เข้าใจ ” มัจฉาถอนหายใจ
“ กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้องยังมาโกหกหน้าตายไม่รู้เรื่องอีก ใครสั่งใครสอนให้มีนิสัยแบบนี้ ”
“ คุณนายบอกมาสิว่ามัจทำอะไรผิด ทุกวันนี้ในสายตาของคุณนายมัจทำอะไรก็ผิดทุกอย่างแม้กระทั่งหายใจ ” มัจฉาพูดออกมาด้วยความน้อยใจ เพ็ญจันทร์เงียบไปชั่วขณะไม่คิดว่าการกระทำของตัวเองจะทำให้มัจฉารู้สึกไม่ดี
“ พิมพ์ไปหยิบไม้เรียวมาให้ฉัน ”
“ ป้าค่ะ อย่าตีน้องเลยคะเรื่องเล็กน้อยไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรก็แค่เด็กทะเลาะกัน ”
“ ไอ้โตกับไอ้เพชรสองคนนี้ชอบมาหาเรื่องคุณหนู ครั้งนี้ก็คงเหมือนกัน คุณผู้หญิงยังไม่ถามคุณหนูสักคำว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ”
“ พูดจบแล้วหรือยัง ” เพ็ญจันทร์ดึงไม้เรียวออกมาจากมือของพิมพ์ภาทันทีพร้อมกับมองหน้าทุกคน ใบหน้าของเพ็ญจันทร์ดูเรียบเฉย สายตาที่มองมาทำให้ทุกคนไม่กล้าสบตา มัจฉาถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายรีบเดินเข้าไปใกล้เพ็ญจันทร์ทันที เพ็ญจันทร์ฟาดตวัดไม้เรียวฟาดลงบนตัวของมัจฉา พุทธชาดเอาตัวเข้ามาบังมัจฉาเอาไว้
“ พี่พุดทำอะไรรีบถอยออกไปเร็ว ”
“ ป้าขอโทษ ” มัจฉาหันไปมองเพ็ญจันทร์กำลังใช้มือแขนของพุทธชาดด้วยความเป็นห่วง
“ เจ็บมากไหมลูก ”
“ ไม่เป็นไรค่ะ ”
“ แน่ใจนะลูก ” พุทธชาดพยักหน้า
“ พุดผิดเองที่สอนน้องไม่ดีความผิดครั้งนี้พุดขอรับไว้เองค่ะ ” เพ็ญจันทร์ถอนหายใจยื่นไม้เรียวให้พิมพ์พาเดินออกไปทันที พุทธชาดลูบหัวมัจฉาเบา ๆ เดินจูงกันไปที่ศาลาริมน้ำท้ายสวน มัจฉาโน้มตัวลงนอนหนุนตักของพุทธชาด เพ็ญจันทร์ยืนมองทั้งสองคนอยู่ตรงระเบียงห้อง รอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏตรงมุมปาก ภาพตรงหน้าทำให้เพ็ญจันทร์สุขใจ
“ คุณนายรู้ได้ยังไงว่าวันนี้มัจมีเรื่องกับไอ้โตและไอ้เพชร ”
“ ป้าเจอโตกับเพชรที่ตลาด ในระหว่างที่พี่กับป้ากำลังเลือกซื้อปลาสองคนนั่นแวะซื้อปลา แม่ค้าข้าง ๆ กับเจ้าของพี่ถามขึ้นว่าทั้งสองคนไปทำอะไรกันมาทำไมสภาพเหมือนกับถูกทำร้าย ป้าได้ยินเข้าพอดีเลยเดินข้าไปถาม เพชรบอกกับป้าว่าโดนมัจทำร้าย ”
“ พี่พุดเจ็บมากไหม ยื่นแขนมาสิมัจทายาให้ ” มัจฉาพยักหน้าลุกขึ้นทายาลงบนแขนของมัจฉาอย่างเบามือ
“ พรุ่งนี้มัจต้องไปสมัครเรียนกับป้าเตรียมเอกสารแล้วหรือยัง ”
“ พรุ่งนี้มัจไปมอบตัวเข้าเรียนที่วิทยาลัยประมง ”
“ หมายความว่ายังไง มัจจะเรียนสายวิชาชีพทางด้านการประมงจริง ๆ หรอ คิดดีแล้วใช่ไหมที่ทำแบบนี้ ” มัจฉาพยักหน้า
“ หมายความอย่างที่พูดนั้นแหละ มัจไม่เรียนต่อมัธยมปลายอย่างที่คุณนายต้องการหรอก มัจขอเลือกเส้นทางชีวิตด้วยตัวตัวเอง ”
“ มัจแน่ใจแล้วหรอที่ทำแบบนี้ ลองคิดทบททวนให้ถี่ถ้วนอีกสักรอบดีไหม พี่ไม่อยากเห็นมัจทะเลาะกับป้าลำพังทุกวันนี้บ้านหลังนี้เหมือนกับสนามรบ ”
“ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด มัจกับคุณนายเปรียบเหมือนเส้นขนานยากที่จะมาบรรจบกันได้ ” พุทธชาดถอนหายใจ
“ สู้ ๆ ไอ้น้องรัก พี่เป็นกำลังใจให้ ”
“ ขอบคุณครับ ” มัจฉาออกจากบ้านไปหาเข้มกับเบิ้มที่บ้านตั้งแต่เช้ามืด เข้มแต่งตัวเป็นผู้หญิงสวมบทบาทเป็นแม่ส่วนเบิ้มสวมชุดเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยสวมบทบาทเป็นพ่อ มัจฉาสวมชุดนักเรียน หลังจากกินเช้าเสร็จทั้งสามคนเดินทางไปที่วิทยาลัยประมงทันที เพ็ญจันทร์เตรียมตัวพามัจฉาไปสมัครเรียนมัธยมปลายแต่มัจฉาไม่ได้อยู่บ้าน พุทธชาดโทรหามัจฉาแต่มัจฉาไม่รับยอมสายพร้อมกับส่งข้อความพุทธชาดบอกให้พุทธชาดให้บอกกับเพ็ญจันทร์ว่าตนเองออกไปทำธุระกับเข้มและเบิ้ม หลังจากเตรียมเอกสารเสร็จ มัจฉา เข้มและเบิ้มเดินขับรถมอเตอร์ไซด์ไปวิทยาลัยประมงทันที
“ วันนี้แกจะได้เป็นสาวมีนกรเต็มตัวสักที ”
“ สาวมีนกรคืออะไรวะ ” เบิ้มถามด้วยความสงสัย
“ มีนกรเป็นชื่อที่ใช้เรียกนักศึกษาคณะประมง ”
“ สาวมีนกรกับหนุ่มช่างไฟ ”
“ แต่ ณ เวลานี้คุณเข้มและคุณเบิ้มเป็นคุณพ่อคุณแม่ของคุณหนูมัจฉาไปก่อนแล้วกันนะครับ ”
“ รับทราบครับผม ” หอประชุมวิทยาประมงในเวลานี้เนืองแน่นไปด้วยนักเรียนและผู้ปกครองจำนวนมาก บางส่วนกำลังทยอยเดินเข้ามา บางส่วนกำลังยืนแถวรอส่งเอกสารให้กับครูประจำโต๊ะและบางส่วนกำลังเดินออกจากหอประชุม มัจฉา เข้มและเบิ้มแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง มัจฉาเตรียมเอกสารไปรายงานตัว ในขณะที่เข้มกับเบิ้มไปนั่งฟังการบรรยายข้อมูลและกิจกรรมการเรียนการสอนของวิทยาลัยประมง
“ พวกแกอย่าพึ่งไป ฉันขอทำใจก่อนได้ไหม ป้าสุเป็นครูอยู่ที่นี้ ทำไมโลกมันกลมอย่างนี้ ” มัจฉาชี้ไปทางสุปราณีย์
“ โลกมันกลมจริง ๆ ด้วย หนีคุณนายเพ็ญจันทร์มาเรียนแต่สุดท้ายก็เจอเพื่อนของคุณนายเพ็ญจันทร์
“ ฉันต้องไปส่งเอกสารตรงโต๊ะของป้าสุ ฉันควรทำยังไงดี ”
“ ใจเย็น ๆ แกทำตัวให้ปกติที่สุด ป้าสุจำแกไม่ได้หรอก ป้าสุไม่เจอหน้าแกมาหลายปีแล้วคงแค่คุ้น ๆ หน้า คนหน้าคล้ายกันมีถมเถไป ” เข้มปลอบใจมัจฉา
“ สู้ ๆ นะเพื่อน ” มัจฉายิ้ม
“ หน้าอาจจะคล้ายกันได้แล้วถ้าหากป้าสุถามเรื่องนามสกุลของแกละ แกจะตอบว่ายังไงเตรียมคำตอบไว้ด้วยละ ” มัจฉาครุ่นคิด
“ เรื่องนี้แกไม่ต้องเป็นห่วง ฉันเตรียมคำตอบเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ” สุปราณีย์กำลังตรวจความเรียบร้อยของเอกสาร มัจฉารวบรวมความกล้าเดินเข้าไปหาสุปราณีย์ วางเอกสารทั้งหมดลงบนโต๊ะ สุปราณีย์ยิ้มกล่าวทักทายมัจฉาพร้อมกับกวาดสายตาตรวจเอกสารอย่างละเอียด
“ นามสกุลของหนูเหมือนกับนามสกุลเพื่อนของครูเลยและชื่อของหนูก็เหมือนกับชื่อหลานของครูเลยนะ ” มัจฉายิ้ม
“ คนเราชื่อซ้ำ นามสกุลซ้ำกันได้ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด ” สุปราณีย์ยิ้ม
“ เพื่อนของครูคงไม่ยอมให้หลานมาเรียนที่นี้หรอก เพื่อนของครูคนนี้เผด็จการชอบบงการชีวิตคนอื่นโดยเฉพาะหลานคนเล็ก ครูไปที่บ้านไม่เคยเจอคลาดกันตลอดไม่รู้เป็นไงบ้าง ยิ่งพูดยิ่งคิดถึง ” มัจฉายิ้ม
“ ไม่ได้เจอหน้าแค่ได้ยินเสียงก็ยังดีนะคะ ”
“ จริง ๆ ด้วย เย็นนี้ครูโทรไปหาสักหน่อย ”
“ ครูคงรักหลานคนนี้มาก ” สุปราณีย์พยักหน้า
“ ผลการเรียนอยู่ในเกณฑ์ดีเยี่ยม ทำไมถึงเลือกมาเรียนสายอาชีวะลูก ส่วนใหญ่คนเรียนเก่งเลือกที่จะเรียนชั้นมัธยมปลาย ทำไมลูกถึงเลือกเรียนสายนี้ละ ”
“ หนูชอบสาขาวิชาชีพทางด้านประมงค่ะ ”
“ สัญญากับครูได้ไหมว่าหนูจะตั้งใจเรียนจนจบการศึกษา ”
“ หนูไม่กล้ารับปากกับครูนะคะ วันนี้แค่จุดเริ่ม ถนนเส้นทางของการศึกษามันมียาวไกล หนูไม่รู้หรอกว่าในระหว่างทางหนูจะตกหลุมหรือว่าเดินออกจากถนนเส้นนี้หรือเปล่า ทุกอย่างเป็นเรื่องของอนาคตไม่สามารถคาดการณ์ได้ ชีวิตของหนูไม่เหมือนกับคนอื่นยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่อาจทำให้หนูเรียนไม่จบ ” สุปราณีย์พยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้มัจฉา
“ เจอกันอีกทีวันเปิดเทอม ” มัจฉาถอนหายใจด้วยความโล่งใจพร้อมทั้งเดินไปหาเข้มกับเบิ้มตรงประตูทางออก
“ ไอ้มัจเป็นบ้าง ป้าสุจำแกได้ไหม ”
“ ป้าสุจำฉันไม่ได้จริง ๆ ด้วยวะพร้อมทั้งบอกกับฉันว่าชื่อกับนามสกุลของฉันเหมือนกับหลานของตัวเอง ” “ “ รอดตัวไปแต่แกเรียนที่นี้ต้องระวังตัว ฉันกลัวว่าสักวันหนึ่งป้าสุจะรู้ว่าแกเป็นหลานของคุณนายเพ็ญจันทร์ คราวนี้แหละแกคงกระดิกตัวทำอะไรไม่ได้ ”
“ ป้าสุจะไม่มีวันรู้ว่าฉันเป็นใคร ทุกอย่างจะเป็นความลับ ป้าสุจะรู้จักฉันในฐานะลูกศิษย์เท่านั้น ” เพ็ญจันทร์รู้สึกหงุดหงิดใจเป็นอย่างมากที่มัจฉาไม่ยอมไปสมัครเรียนจนไม่มีสมาธิทำงาน วันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไปจากวันนั้นจวบจนถึงทุกวันนี้สิบปีเต็มที่ต้องจมอยู่กับความรู้สึกผิดและต้องแบกรับความผิดนั้นไว้เพียงผู้เดียว ความจริงอันแสนเจ็บปวดที่ต้องปกปิดเอาไว้ไม่สามารถบอกให้ใครรู้โดยเฉพาะมัจฉายิ่งคิดยิ่งทำให้เพ็ญจันทร์กังวลใจขึ้นเป็นทวีคูณ พิมพ์พาดักรอมัจฉาอยู่ตรงหน้าบ้าน
“ ทำไมคุณหนูยังไม่กลับบ้านมาสักทีทั้ง ๆ ที่ตัวเองมีความผิดยังกลับบ้านช้าอีก ” พิมพ์พาบ่นพึมพำ เสียงเปิดประตูบ้านทำให้พิมพ์ภาโล่งใจ
“ คุณหนูกลับมาแล้ว ป้าดีใจที่สุดเลย วันนี้คุณหนูหายไปไหนมา คุณผู้หญิงรอคุณหนูตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีวี่แววของคุณหนู ”
“ มัจไปรายงานตัวเข้าเรียนที่วิทยาลัยประมง ”
“ ห๊ะ ว่ายังไงนะ ” พิมพ์พาทำหน้าตกใจพร้อมกับถอนหายใจ
“ คุณนายว่ายังไงบ้าง ”
“ คุณผู้หญิงรอคุณหนูอยู่ในห้องทำงาน สู้ ๆ นะคะ ป้าเป็นกำลังใจให้ ” มัจฉาถอนหายใจ เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้เพ็ญจันทร์ได้สติ มัจฉายืนสงบนิ่งอยู่หน้าประตูฝืนยิ้มทำตัวปกติเปิดประตูเดินเข้าไปข้างใน เพ็ญจันทร์ถอนหายใจเมื่อเห็นมัจฉาเดินเข้ามาหาตัวเอง ใบหน้าอันเรียบเฉยของเพ็ญจันทร์ให้มัจฉารู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที
“ คุณนาย ! ”
“ วันนี้มัจไปไหนมาทำไมไม่ไปรายงานตัวกับปล่อยให้ป้ารอทั้งวันหรือไม่คิดจะเรียนต่อแล้ว ”
“ วันนี้มัจไปรายตัวเข้าเรียนที่วิทยาลัยประมงมาค่ะ มัจบอกคุณนายแล้วนะว่าจะไม่เรียนต่อมัธยมปลาย ” เพ็ญจันทร์โกรธจัดใช้มือตบโต๊ะอย่างแรงด้วยความโมโห
“ ทำไมถึงได้ดื้อแบบนี้ มีหูไว้กันสมองเพียงอย่างเดียวใช่ไหมถึงได้ทำตัวเหมือนคนไม่มีความคิดถึงยังกล้าขัดคำสั่งของป้า ” มัจฉาน้ำตาคลอเป้าเดินเข้าไปกอดเพ็ญจันทร์ การกระทำของมัจฉาทำให้เพ็ญจันทร์ตกใจทำตัวไม่ถูกทำได้แต่ยืนนิ่ง ๆ ในขณะที่มัจฉายังกอดเพ็ญจันทร์
“ ตั้งแต่เล็กจนโตในวันคล้ายวันเกิดคุณนายไม่เคยมีของขวัญให้มัจแม้แต่ชิ้นเดียวหรือแม้กระทั่งความรัก ความรัก หัวใจของคุณนายมีให้พี่พุดเพียงคนเดียว ครั้งนี้มัจขอ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายในการเรียนทั้งหมดมัจเป็นคนรับผิดชอบจะไม่มารบกวนเงินของคุณนายแม้แต่บาทเดียว ”
“ ทำไมมัจพูดกับป้าแบบนี้ ” มัจฉาเงียบเดินออกไปทันทีหลังจากพูดจบ เพ็ญจันทร์ทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ คำพูดของมัจฉายังก้องอยู่ในหู เพ็ญจันทร์ถึงกับน้ำตาคลอเบ้าพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้แต่สุดท้ายต้องพ่ายแพ้ให้กับความอ่อนแอของหัวใจ น้ำตาแห่งความเสียใจค่อย ๆ ไหลออกมาอย่างช้า ๆ จนอาบสองแก้ม หัวใจของเพ็ญจันทร์ในเวลานี้บอบช้ำเกินกว่ามนุษย์ ๆ คนหนึ่งจะต้านไหว
“ มัจคงเกลียดป้า ถ้าไม่อย่างนั้นมัจคงไม่พูดกับป้าแบบนี้ ทำไมป้าจะไม่รักมัจ ในเมื่อมัจเป็น ” เสียงเรียกของพิมพ์ภาทำให้เพ็ญจันทร์ได้สติรีบเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าทันที
“ คุณผู้หญิงร้องไห้ วันนี้คุณผู้หญิงทะเลาะกับคุณหนูมัจอีกแล้วใช่ไหมค่ะ ถ้าไม่อย่างนั้นคุณผู้หญิงคงไม่ต้องนั่งร้องไห้อยู่อย่างนี้ คุณหนูมัจทำให้คุณผู้หญิงต้องเสียน้ำตาอีกแล้ว หญิงแกร่งอย่างคุณผู้หญิงยังต้องแพ้ให้กับคุณหนูมัจฉา ”
“ วันนี้เราไม่ได้ทะเลาะกัน ท่าทีของยัยมัจดูเปลี่ยนไปมีแต่ฉันที่อาละวาด คำพูดของยัยมัจทำให้ฉันรู้สึกแย่
ฉันเสียใจที่ยัยมัจพูดกับฉันแบบนี้ ”
“ คุณหนูพูดกับคุณผู้หญิงว่าอะไรค่ะ ”
“ ยัยมัจบอกกับฉันว่าตั้งแต่เล็กจนโตฉันไม่เคยมีของขวัญให้แม้แต่ชิ้นเดียวหรือแม้กระทั่งความรัก ฉันไม่เคยมีให้แม้แต่นิดเดียว ความรักของฉันมีให้กับพุทธชาดคนเดียวเท่านั้น ยัยมัจเข้าใจผิดคิดว่าฉันไม่รักแกเลย หมายังรักลูกของมัน ฉันเป็นมนุษย์ ทำไมฉันจะไม่รักในเมื่อยัยมัจเป็น ”
“ อย่าพูดดังไปคะคุณผู้หญิง กำแพงมีหูประตูมีตา เดี๋ยวใครมาได้ยินเข้า ”
“ ขอบใจนะที่ช่วยเตือนสติฉัน ”
“ ความจริงเป็นสิ่งไม่ตายแต่เราก็อายที่จะพูดความจริงแต่ในตอนนี้ไม่ใช่เวลาอันสมควรที่คุณผู้หญิงจะบอกความจริงกับคุณหนู ในตอนนี้คุณหนูยังเด็กเกินไปรอให้คุณหนูโตกว่านี้แล้วคุณผู้หญิงค่อยบอก ”
“ ฉันกลัวยัยมัจจะรับเรื่องนี้ไม่ได้และพาลเกลียดฉัน ”
“ สักวันหนึ่งคุณผู้หนูก็จะต้องรู้เรื่องนี้หรือว่าคุณผู้หญิงจะไม่บอกเรื่องนี้กับคุณหนู ” เพ็ญจันทร์ถอนหายใจ
“ ฉันจะบอกเรื่องนี้กับยัยมัจเอง ”
“ คุณหนูคงขำและคิดว่าคุณผู้หญิงพูดเล่น ”
“ ฉันก็ว่าแบบนั้นแหละ ” เพ็ญจันทร์ยิ้มออกมาพร้อมกับถอนหายใจ พิมพ์ภาหัวเราะด้วยความชอบใจ มัจฉาขับรถมาหาชลธี บ้านของชลธีเป็นบ้านเรือนไทยขนาดกลางอยู่ในหมู่บ้านแถบชานเมืองห่างจากบ้านของมัจฉาประมาณครึ่งกิโล