ช่วยแผ่นดินไหวเนปาล14:วันอุบัติเหตุ
เราตื่นแต่เช้ากันพอควรเตรียมตัวเพื่อออกเดินทาง ทั้งเก็บกระเป๋า ทำความสะอาดห้อง จัดการกับอาหารเช้าและธุระส่วนตัว ขนกระเป๋าใบยักษ์ทั้งหมดมาที่ระเบียงหน้าห้อง เราทั้งสี่บ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า ทำไมรู้สึกว่ากระเป๋ามันหนักขึ้น?! ภรรยาฮารี่และนานีเดินเข้าออกห้องไปมาแข่งกับพวกเรา เพราะเตรียมตัวพาเด็กๆกลับบ้านแม่ที่ชานเมืองเช่นกัน ปล่อยให้ฮารี่นำทีมพวกเราเข้าหมู่บ้าน....
แล้วทุกคนก็มารวมตัวกันที่ระเบียงทันที ที่ได้ยินเสียงนานีตัวน้อยแผดเสียงร้องจ้าลั่นบ้าน ด้วยความเจ็บปวด! ประตูหนีบนิ้ว เล็บเกือบหลุด เลือดอาบทั้งนิ้ว!! ทุกคนตกใจสุดขีด ฮารี่รีบลงมาจากห้องครัว รีบเอาชุดทำแผลปฐมพยาบาลที่เตรียมมาออกมา เปิดแอลกอฮล์ เบตาดีน สำลี สก็อตเทปส่งให้ฮารี่ สงสารน้องสุดๆ ทุกคนหน้าเสียไปตามๆกัน น้องร้องไม่หยุดเลย ทำให้ทุกคนรับรู้ได้ว่าจะเจ็บแค่ไหน
คนที่ต้องเข้มแข็งที่สุดคือฮารี่ที่คุมสถานการณ์ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ไม่กี่นาทีต่อมาน้องหยุดร้อง พร้อมแต่งตัวแต่งหน้าสวยพริ้งสะพายเป้ตุ๊กตาตัวกระต่ายกินแครอท ชูนิ้วที่มีผ้าพันแผลขึ้นตลอดเวลา คงยังเจ็บอยู่และไม่อยากให้ใครมาโดนซ้ำความเจ็บอีก นานีเริ่มยิ้มได้แล้ว...ทุกคนก็เช่นกัน...แบ่งชุดทำแผลทิ้งไว้ให้แม่นานีชุดใหญ่ ถึงแม้ว่าบ่ายนี้จะพาไปโรงพยาบาลแต่ก็เผื่อต้องใช้ยามฉุกเฉิน ก่อนล่ำลานานีผู้น่าสงสาร บาบูน้อย และภรรยาฮารี่
เธอมอบผ้าสามผืนให้เป็นของขวัญเอาไว้ตัดชุดกรูตา (ชุดประจาสตรีเนปาลี) เป็นของขวัญ ดีใจมาก ถึงแม้ว่าแอบไม่แน่ใจว่าเอาไปตัดที่เมืองไทยแล้วมันจะออกมาแขกไหม และยังแถมติดสติ๊กเกอร์ติกะ (จุดแต้มแดง) ให้กลางหน้าผาก ตั้งแต่วันนี้ เลยติดติกะตลอดเลย
กว่าที่พวกเราจะได้เคลื่อนขบวนออกจากบ้านก็เกือบบ่าย เพราะต้องรอฮารี่ไปส่งครอบครัวก่อน และก่อนออกจากบ้านพวกเราบริจาคเงินก้อนแรกเพื่อช่วยผู้ประสบภัยที่หมู่บ้านนี้จำนวนหนึ่ง จากนั้นจึงเริ่มต้นการเดินทาง เป็นการเดินออกมาขึ้นรถแบกกระเป๋าที่หนักกว่าทุกวันจากสัมภาระทั้งหมดที่ต้องแบกมาด้วย ฮารี่ใจดีช่วยเราแบกเป้ขนาดย่อมใบนึง...นี่ยังไม่ถึงไหนเลย ก็รู้สึกล้าซะแล้ว จะไหวมั๊ยเนี่ย กว่าเราได้ที่นั่งบนรถเมล์ที่นั่งท้ายๆรถ ก็ปาเข้าไปบ่ายๆแล้ว
บนรถแน่นเช่นเคย แต่ยังดีที่เราได้นั่งกัน วิวรอบข้างค่อยๆเปลี่ยนจากบ้านคนแน่นๆ ในกาฐมาณฑุเป็นเนินเขา ภูเขาสลับกับบ้านคนบางๆ ฮารี่บอกว่าใช้เวลาสี่ชั่วโมงกว่าจะไปถึงเมือง Dhadling รู้ดีว่าอาจนานกว่านั้นครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมงเลยทีเดียว...ไปถึงค่ำแน่เลย...เกือบหนึ่งชั่วโมงต่อมา รถของเราหยุดที่ด่านตรวจนอกเมืองแห่งหนึ่ง หันมองออกไปนอกหน้าต่างตามเสียงคนตะโกนโวยวาย กลุ่มชายหนุ่มเกือบสิบคนหามผู้ชายร่างผอมบางคนหนึ่งลงมาจากหลังคารถเรา วางลงบนพื้นข้างทางพยายามปลุกให้ตื่นด้วยวิธีการต่างๆ หลายคนเดินวนไปมา ชายคนหนึ่งเข้ามาจับชีพจรที่ข้อมือด้วยสีหน้าไม่ค่อยดี ผู้โดยสารบนรถเริ่มลงรถมาพูดคุยถามไถ่ฟังไม่รู้เรื่อง ในนั้นมีฮารี่ด้วย
คนไทยยังอยู่บนรถเพราะไม่รู้จะทำอะไร...พักใหญ่ฮารี่ขึ้นมาแจ้งข่าวร้ายว่า ชายคนนั้นป่วยหนัก เค้านั่งโดยสารมากับรถเมล์คันเดียวกับเราอยู่บนหลังคาแล้วแน่นิ่งไปเฉยๆ เจ้าหน้าที่กำลังจะมาเพื่อช่วยเหลือ “This bus will stop here!!!...” ...หา! พากเราอุทานเกือบพร้อมกันพร้อมหน้าจ๋อยสนิท...ค่อยๆลำเลียงเป้ยักษ์ของพวกเราลงจากหลังคามานั่งจ๋องข้างทาง ฮารี่บอกว่าจะลองพยายามหารถคันอื่นไปต่อดู แต่คันแล้วคันเล่าก็เป็นปลากระป๋องหมด ไม่มีวี่แววว่าจะมีที่หลงเหลือให้พวกเรา หมู่บ้านเล็กๆชานเมืองแห่งนี้ก็ไม่มีโรงแรมด้วย ฮารี่บอกพวกเราในท้ายที่สุดว่า “ We should come back home…” ทุกคนหน้าจ๋อยสนิทอีกรอบ ในใจน่าจะคิดเหมือนกันว่าอุตส่าห์ดีใจจะได้ออกนอกเมืองแล้ว อดทนแบกกระเป๋าออกมาจากกาฐมาณฑุ...แต่ตอนนี้เราต้องกลับกาฐมาณฑุกัน! เศร้าสุดๆเกินบรรยาย นาทีนี้ไม่มีใครยิ้มออก ลึกๆทุกคนเข้าใจดีว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ณ นาทีนี้
**ข้อความทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคลของผู้เขียน
*ติดตามเรื่องราวทริปและงานเขียนอื่นได้ที่ https://tenlavenders.blogspot.com/
และเว็บไซต์ส่วนตัว https://tenlavenders.softr.app/