สุดยอดไม้สายพันธุ์ไทยสุดหายาก
วันนี้เราจะพานท่านมารู้จักกับต้นไม้ไทยที่สุดหายากราคาแพงกันครับ
ดอกว่านเพชรหึง
ว่านเพชรหึง (ชื่อวิทยาศาสตร์: Grammatophyllum speciosum) หรือที่ชื่ออื่นเรียกว่า กล้วยไม้ยักษ์, กล้วยไม้เสือโคร่ง, กล้วยกา,ว่านงูเหลือม,ว่านหางช้าง,ราชินีแห่งกล้วยไม้,หรือ Letter Plant จัดเป็นกล้วยไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใช้เป็นยาแก้พิษแมลงกัดต่อยได้ ว่านเพชรหึงเป็นกล้วยไม้ซึ่งถือได้ว่าเป็นกล้วยไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นกล้วยไม้ประเภทแตกกอ มีระบบรากอากาศ และมีลำต้นสูง อาจสูงถึงกว่า 3 เมตร ลำต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 3-5 ซม. ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกันบนลำต้น ใบกว้างราว 3 เซนติเมตร ยาวราว 60 เซนติเมตร ใบอ่อน โค้งลงด้านล่าง ใบเมื่อแก่จัดจะร่วงหลุดไปจากลำต้นทิ้งรอยแผลเป็นไว้เป็นระยะๆ ที่มองคล้ายข้อบนลำต้น ดอกออกราวเดือนมิถุนายนถึงตุลาคม โดยจะออกดอกตามบริเวณยอด ครั้งละ 2-3 ช่อ และดอกจะทยอยบานติดต่อกันนานถึง 3 เดือน ช่อดอกมีทั้งชนิดช่อตั้งและช่อห้อย แต่ละช่ออาจยาวได้
1.5-2 เมตร ก้านดอกยาว 15-30 ซม. ดอกมีกลีบดอก 5 กลีบ กลีบดอกหนามีพื้นกลีบสีเหลืองหรือเหลืองอมเขียว มีแต้มน้ำตาลหรือม่วงคล้ายกับลวดลายของเสือ เกสรตัวผู้ 3 อัน เกสรตัวเมีย 1 อัน มีรังไข่อยู่ 3 ห้อง ผลมี 3 พู รูปร่างยาว เมื่อผลแก่จะแตกออกเป็น 3 กลีบ มีเมล็ดสีดำขนาดเล็กอยู่มากมายปลิวไปตามลม
ว่านเพชรหึง กล้วยไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ช้างกระ
ช้างกระ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Rhynchostylis gigantea (Lindl.) Ridl.) หรือชื้อพื้นเมืองว่า เอื้องต๊กโต มีลักษณะ ใบหนา แข็ง ยาวประมาณ 25-30 เซนติเมตร กว้างประมาณ 5-7 เซนติเมตร ปลายใบเป็นแฉก 2 แฉก มน และสองแฉกของใบไม่เท่ากัน รากเป็นรากอากาศ มีขนาดใหญ่ ปลายรากมีสีเขียว ช่อดอกเป็นรูปทรงกระบอกโค้งลง ช่อดอกยาวประมาณ 20-40 เซนติเมตร มีดอกแน่นช่อ ช่อละ 25-60 ดอก ขนาดดอกประมาณ 2.5-3.0 เซนติเมตร กลีบนอกคู่ล่างกว้างยาวพอๆ กันกับกลีบนอกบน ส่วนกลีบในเรียวกว่ากลีบนอก
เดือยดอกอยู่ในลักษณะเหยียดตรงไปข้างหน้า ปลายแผ่นปากหนา แข็งและปลายสองข้างเบนเข้าหากัน ปลายปากมี 3 แฉก สองแฉกข้างมน แฉกกลางมนและมีขนาดเล็กกว่ามาก ใกล้โคนปากด้านบนมีสันนูนเตี้ยๆ 2 สัน ดอกมีกลิ่นหอมฉุน หอมไกล และเป็นพันธุ์ไม้หายากชนิดหนึ่ง ฤดูกาลออกดอกในช่วง เดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์
รองเท้านารีเหลืองกาญจน์
รองเท้านารีเหลืองปราจีน เป็นกล้วยไม้ในสกุลรองเท้านารี ถูกค้นพบโดย Mr.C. Parish ในปี ค.ศ. 1859 มีการกระจายพันธุ์ในทางตอนใต้ของจีน (มณฑลยูนนาน มณฑลกุ้ยโจว และเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง) พม่า ไทย และตอนกลางและตอนใต้ของเวียดนาม โดยเฉพาะในอุทยานแห่งชาติฟ็องญา-แก๋บ่าง จังหวัดกว๋างบิ่ญ
รองเท้านารีเหลืองปราจีนมีชื่อสามัญอื่นอีกคือ รองเท้านารีเหลืองอุดรและรองเท้านารีเหลืองกาญจน์
มีลักษณะเป็นพุ่มต้นกว้างประมาณ 20-25 ซม. สูงประมาณ 10-20 ซม. ใบกว้าง 2.5-3.5 ซม. ยาว 10-20 ซม. ใบด้านบนเป็นลายสีเขียวสลับเขียวอ่อน ใต้ท้องใบมีจุดประสีม่วงเล็กน้อย ดอกกว้างประมาณ 3.5-7 ซม. ก้านช่อดอกค่อนข้างสั้นประมาณ 5-7 ซม. ช่อหนึ่งมี 1-2 ดอก กลีบบนและกลีบในสีเหลืองมีจุดประสีม่วงกระจายทั่วกลีบ ออกดอกช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม
เฟิร์นเขากวางตั้ง
กระเช้าเขากวาง หรือ เขากวาง เป็นเฟินอิงอาศัยในสกุลชายผ้าสีดา พบกระจายพันธุ์ในภาคใต้ของประเทศไทย ประเทศมาเลเซีย และประเทศอินโดนีเซีย ชื่อ ridleyi ตั้งขึ้นเป็นเกียรติแก่นักพฤกษศาสตร์ เจ. ริดลีย์ (J. Ridley) ผู้เข้ามาทำการสำรวจเฟินในประเทศมาเลเซียและเขียนหนังสือชื่อ "Ferns of The Malaysia (เฟินในประเทศมาเลเซีย)"
ลำต้นเป็นเหง้าเป็นแท่งสั้น ยอดเหง้ามีเกล็ดสีน้ำตาลปกคลุม ใบกาบรูปกลมห่อหุ้มเหง้า ขอบบนไม่แผ่ตั้ง ขอบใบเรียบหรือหยักเล็กน้อย เส้นใบปูดนูนขึ้นมาอย่างเด่นชัด ใบชายผ้าชูตั้งขึ้น แตกแฉกเป็นกิ่งหลายชั้น ใบซอบเรียว มองดูคล้ายเขาของกวาง
จันทน์ผา
จันผา หรือ จันทร์ผา เป็นไม้ประดับที่มีอยู่แถบตามป่าเขาในประเทศไทย มีความสูงประมาณ 5 - 7 ฟุต ลำต้นมีความแข็งแรงมาก จะมีการแตกใบตรงบริเวณยอด ใบมีสีเขียวเข้ม ลักษณะเป็นรูปหอก ขนาดใบเรียวและยาว ปลายใบจะมีรูปแบบแหลมใบยาวประมาณ 45-50 cm และมีความกว้างที่ประมาณ 4-5 cm ส่วนใหญ่จะนิยมปลูกประดับไว้ที่สนามหญ้าและใช้ตกแต่งร่วมกับสวนหินจันทร์ผานั้นมีหลายชื่อ บ้างก็เรียกว่า "จันทร์แดง" หรือ "ลักจั่น"
ชอบขึ้นบริเวณหน้าผา เป็นไม้พุ่มที่มีขนาดใหญ่หรือไม้ต้นขนาดเล็ก แต่จะไม่ผลัดใบ ลำต้นจะกลมๆ คล้ายต้นหมาก และเปลือกของลำต้นจันทร์ผานั้นจะมีสีเทาๆ ส่วนใบจะแตกเป็นช่อๆ โดยจะแตกบริเวณปลายยอดเท่านั้น เรือนยอดเป็นรูปทรงไข่ เมื่อต้นโตจะแผ่กว้างขยายออกไป เปลือกต้นสีน้ำตาลหรือน้ำตาลปนเทา แตกเป็นร่องตามยาว
ใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับถี่ ๆ ที่ปลายกิ่ง ใบรูปแถบยาวแคบ กว้าง 4-5 เซนติเมตร ยาว 45-60 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบแผ่เป็นกาบหุ้มลำต้น ผิวใบด้านบนสีเขียวเข้ม ก้านใบเป็นกาบหุ้มซ้อนทับ กันรอบลำต้น ดอกสีขาวนวลตรงกลางดอกมีจุดสีแดง มีกลิ่นหอม ออกเป็นช่อแบบช่อแยกแขนงขนาดใหญ่ตามซอกใบที่ปลายกิ่ง มีดอกจำนวนมาก กลีบดอก 6 กลีบ ผลสด ทรงกลมขนาดเล็กอยู่รวมกันเป็นพวง ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่สีแดงคล้ำ มีเมล็ดเดียว
พลับพลึงธาร
พลับพลึงธาร หรือ หอมน้ำ (อังกฤษ: Onion plant, Thai onion plant, Water onion) พืชน้ำชนิดหนึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์: Crinum thaianum อยู่ในวงศ์พลับพลึง (Amaryllidaceae) ถือได้ว่าเป็นพืชน้ำที่สวยงามและหายากมากที่สุดชนิดหนึ่ง โดยพบได้เฉพาะที่จังหวัดระนองตอนล่างและพังงาตอนบน ในจังหวัดระนองพบที่คลองนาคา ตำลนาคา อำเภอสุขสำราญ และที่คลองบางปรุ ตำบลกะเปอร์ อำเภอกะเปอร์ ส่วนที่จังหวัดพังงา พบที่คลองตาผุด บ้านห้วยทรัพย์ คลองสวนลุงเลื่อน ตำบลคุระ อำเภอคุระบุรี คลองนายทุย คลองบ้านทับช้าง คลองบ้านโชคอำนวย ตำบลแม่นางขาว อำเภอคุระบุรี และตามคลองย่อยต่าง ๆ ในเขตรอยต่ออำเภอคุระบุรีและอำเภอตะกั่วป่า เป็นพืชเฉพาะถิ่น ไม่พบที่ใหนในโลก ปัจจุบันพบเหลือแค่ร้อยละ 1 เท่านั้น และพบขึ้นอยู่อย่างกระจัดกระจาย จึงได้ขึ้นเป็นบัญชีพืชที่ใกล้สูญพันธุ์ของโลก (IUCN Redlist) เมื่อปี ค.ศ. 2011 สาเหตุของการลดลงเนื่องจาก การเก็บหัวจำหน่ายเป็นพืชน้ำประดับ และจากสาเหตุการขุดลอกคลองเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม เป็นพืชอวบน้ำ ดอกมีสีขาว มี 6 กลีบ ในก้านชูดอกหนึ่ง ๆ จะมีหลายก้านดอก จะทะยอยบานติดต่อกันไป ดอกหนึ่ง ๆ จะมีก้านเกสร 6 อัน มีเกสรสีเหลืองที่ปลายก้านเกสร ตรงกลางดอกจะมีก้านเกสรตัวเมียโผล่มาจากแกนกลางของดอก หลังจากผสมเกสร กะเปาะเมล็ดจะเจริญเติบโตที่โคนก้านดอก กะเปาะหนึ่งจะมีจำนวนเมล็ดที่ไม่เท่ากัน มีลักษณะบูดเบี้ยวเป็นทรงที่ไม่แน่นอน พอเมล็ดแก่จะหลุดออกจากกะเปาะ
พัฒนาสายรกออกด้านใดด้านหนึ่งของเมล็ด ตรงปลายสายรกจะพัฒนาเป็นต้นใหม่และมีรากยึดติดกับพื้นคลอง ในระหว่างที่รากยังไม่สามารถเกาะยึดพื้นคลองได้ เมล็ดจะเป็นแหล่งอาหารให้กับต้นอ่อนได้นาน 3–4 เดือน หัวมีลักษณะคล้ายหัวหอม จึงมีชื่อเรียกว่า "หอมน้ำ" หัวจะโผล่ขึ้นเหนือผิวดินประมาณ 1 ใน 3 เพื่อป้องกันการเน่า ใบจะเป็นสีเขียวเรียวยาวเหมือนริบบิ้น ความยาวขึ้นอยู่กับระดับน้ำ บางพื้นที่ที่น้ำลึกใบอาจจะยาวได้ถึง 4 เมตร
ปาล์มบังสูรย์
ปาล์มบังสูรย์ ชื่อวิทยาศาสตร์: Johannesteijsmannia altifrons เป็นปาล์มที่พบทางภาคใต้ของประเทศไทย ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด ลำต้นเลื้อยใต้ดิน เป็นปาล์มแบบสมบูรณ์เพศ เป็นไม้พื้นล่างของป่า ต้องการร่มเงาของไม้ใหญ่ในการบังแสงแดดและลม หากอยู่กลางแจ้งสีจะซีดไม่สวยงาม หากโดนลมแรงใบจะแหว่งและขาด มีแผ่นใบติดขนาดใหญ่ที่สวยงามมาก จัดเป็นปาล์มที่เลี้ยงค่อนข้างยาก เพราะไม่ทนทาน ต่อความแห้งแล้ง และการกระทบกระเทือนของระบบราก แต่หากมีที่ร่มใต้ต้นไม้ใหญ่จะสามารถเลี้ยงให้สวยงามได้ ใช้เวลาปลูกตั้งแต่เมล็ดงอกจนมีขนาดที่สวยงามประมาณ 10 ปี ขึ้นไป
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ อย่าลืมหามาปลูกกันนะครับ