ศัลยกรรมดูดไขมันที่เกาหลี กลับป่วยเป็นโรคแบคทีเรียกินเนื้อคน เนื้อตาย เสียชีวิต
ในวันที่ 10 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์สลด กรณีนางสาวหวัง หญิงสาวชาวจีนวัย 29 ปีรายหนึ่ง เข้ารับการศัลยกรรมดูดไขมันบริเวณแขน-ต้นขา-ท้อง ที่คลินิกย่านกังนัม กรุงโซล และเสียชีวิตประมาณหนึ่งเดือนให้หลังจากการทำศัลยกรรม
ได้เดินทางเข้าประเทศเกาหลีใต้เมื่อเดือนพฤศจิกายนของปีก่อน และเข้ารับการดูดไขมัน 3 ครั้ง บริเวณหน้าท้อง แขน และต้นขาตามลำดับ ในระยะเวลาประมาณ 2 สัปดาห์
หลังการผ่าตัดแต่ละครั้ง มีอาการเจ็บปวดอย่างมาก โดยเฉพาะการผ่าตัดครั้งที่ 3 จนต้องขอรับการรักษา โดยนางสาวหวังได้รับการฉีดยาปฏิชีวนะและประคบน้ำแข็งในห้องพักฟื้น กระทั่งเวลา 22.00 น. แพทย์ได้เดินทางกลับ เหลือเพียงนางสาวหวังและผู้ดูแลอยู่อยู่ห้องพักฟื้นตามลำพัง
อาการของนางสาวหวังเริ่มแย่ลง ทางผู้ดูแลจึงส่งตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ซึ่งแพทย์วินิจฉัยว่านางสาวหวังป่วยเป็นโรคแบคทีเรียกินเนื้อคน (Fasciitis) แบบเนื้อตาย มีอาการรุนแรงขึ้นจนกลายเป็นภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด จนเธอเสียชีวิต
การสูญเสียครั้งนี้สร้างความโกรธเคืองให้ครอบครัวนางสาวหวัง พวกเขายื่นเรื่องร้องเรียนต่อตำรวจเพื่อดำเนินคดีแก่คลินิกศัลยกรรม ในข้อหาประมาทจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย รวมทั้งละเมิดกฎทางการแพทย์ เนื่องจากทางผู้เสียชีวิตบ่นถึงอาการเจ็บกับทางคลินิก แต่คลินิกไม่ได้ให้การรักษาที่เหมาะสม หรือย้ายไปโรงพยาบาลขนาดใหญ่ จึงทำให้เกิดการสูญเสียขึ้น
อย่างไรก็ตาม ตามบันทึกทางการแพทย์ที่ถูกส่งไปยังครอบครัวผู้เสียชีวิต มีการระบุว่า หลังจากการผ่าตัดครั้งที่ 3 ของนางสาวหวัง อาการของเธอดีขึ้นหลังจากได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม โดยทางคลินิกพยายามเจาะเลือดเพื่อตรวจหาการอักเสบ แต่การดำเนินการต้องล่าช้า เนื่องจากคนไข้ไม่ให้ความร่วมมือ
ขณะนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการสอบสวน โดยจะดำเนินการชันสูตรพลิกศพและตรวจสอบกล้องวงจรปิดในห้องผ่าตัดโดยละเอียด
จากเหตุการณ์ดังกล่าว มีข้อสังเกตและข้อควรระวัง ดังนี้
- การทำศัลยกรรมมีความเสี่ยง ถึงแม้จะเป็นศัลยกรรมเล็ก ๆ อย่างการดูดไขมันก็ตาม ผู้ป่วยควรศึกษาข้อมูลและเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน
- หากมีอาการผิดปกติหลังการผ่าตัด ควรรีบไปพบแพทย์ทันที อย่ารอให้อาการรุนแรงขึ้น
สำหรับครอบครัวผู้เสียชีวิต หวังว่าการยื่นเรื่องร้องเรียนต่อตำรวจจะนำไปสู่การสอบสวนอย่างโปร่งใส และนำไปสู่การดำเนินคดีกับคลินิกศัลยกรรมอย่างเหมาะสม เพื่อไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก