นักวิชาการกฎหมาย ชี้ หากสัญญาจ้างไม่เป็นธรรมอาจตกเป็นโมฆะ
""_____ #แต่เดิม มีการคิดกันว่า หากผู้รับจ้างเป็นทนายความ หรือไม่ใช่ทนายความก็ตาม หากว่าในสัญญา ระบุว่า ""#จ้างเป็นที่ปรึกษากฎหมาย"" ไม่ได้ว่าจ้างให้เป็น ""#ทนายความ"" แล้วมีการเรียกค่าจ้างเป็นอัตราร้อยละของเงินหรือทรัพย์สินที่จะผู้ว่าจ้างจะได้รับมานั้น สัญญาในลักษณะนี้จะตกเป็นโมฆะ ตามมาตรา 150 ของ ป.พพ. หรือไม่
#ปัจจุบัน ศาลฎีกา ได้วางหลักวินิจฉัยเอาไว้แล้วว่า แม้ว่าผู้รับจ้างจะไม่ได้เป็นทนายความ (หรือเป็นทนายความก็ตาม) แต่หากเนื้อหาสาระของสัญญา #มีลักษณะเข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียในผลของคดีหรือในเงินหรือทรัพย์สินที่ผู้ว่าจ้างจะได้รับนั้น ถือว่า สัญญาดังกล่าวตกเป็นโมฆะทั้งหมด โดยถือว่า เป็นข้อสัญญาที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตามมาตรา 150 ของ ป.พพ. (**#แต่ไม่ขัดกฎหมาย)
ดู คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 1585/2566 วินิจฉัยว่า
"" ..... #แม้ว่าผู้รับจ้างจะไม่ได้เป็นทนายความ และแม้ว่าสัญญาที่ทำกันนั้นจะเป็นสัญญาให้ติดตามเอาทรัพย์มรดกคืนกลับมา (ไม่ใช่สัญญาจ้างว่าความ) แต่เนื้อหาในสัญญาพบว่า #เป็นการทำสัญญาภายหลังจากที่มีคดีเกี่ยวกับมรดกอยู่ในศาลอยู่ก่อนแล้ว
และ ในสัญญาระบุให้ผู้รับจ้างมีอำนาจเจรจาไกล่เกลี่ยได้ทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา และให้อำนาจผู้รับจ้างดำเนินคดีแพ่งและคดีอาญาได้ #จึงเป็นสัญญาที่เกี่ยวข้องกับคดีความที่กำลังอยู่ในระหว่างพิจารณาคดีของศาล
ดังนั้น เมื่อข้อตกลงในส่วนของการจ่ายค่าจ้าง ตกลงกันให้คิดใน #อัตราร้อยละ_30% #ของเงินมรดกที่ผู้ว่าจ้างจะได้รับ จึงถือว่าเป็นสัญญาที่มีเนื้อหาให้ผู้รับจ้างเข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียในผลของคดีหรือในเงินหรือทรัพย์สินที่ผู้ว่าจ้างจะได้รับ จึงขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรอืศีลธรรอันดีของประชาชน ตกเป็นโมฆะ ตามมาตรา 150 .....""
(รัชนี สุขใจ - พอพันธุ์ คิดจิตต์ - ปฏิญญา สูตรสุวรรณ)
#ถ้าเป็นทนายความ เรียกเอาค่าจ้างโดยคิดอัตราร้อยละของเงินหรือทรัพย์สินที่จะได้ ศาลฎีกาวางหลักไว้เป็นบรรทัดฐานแล้วว่า ตกเป็นโมฆะเพราะขัดกับความสงบและศีลธรรมอันดี #แม้ว่าจะไม่ผิดมรรยาททนายความก็ตาม เพราะ #ศาลพิจารณาจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มิได้พิจารณาจากพระราชบัญญัติทนายความ
(เทียบ ฎ. 2406/2564,1443/2545,849/2548)
ดู คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 1264/2543 (ประชุมใหญ่)
"" ..... แม้การเรียกค่าว่าความเป็นอัตราร้อยละ จากเงินหรือทรัพย์สินที่จะได้นั้น #จะไม่เป็นการผิดมรรยาททนายความ ก็ตาม #แต่ก็เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน .....""
สำหรับแนวคิดของศาลนั้น ถือว่า สัญญาที่เกี่ยวข้องกับคดีความต่างๆนั้น ไม่ว่าจะเป็นคดีที่อยู่ในศาลแล้วหรือคดีที่ยังไม่เข้าสู่ศาลก็ตามหรือแม้แต่เป็นคดีในชั้นบังคับคดีก็ตาม #ถือว่าเป็นสัญญาจ้างทำของที่เกี่ยวข้องกับการเป็นคดีความ ไม่ใช่สัญญาจ้างทำของทั่วๆไป
(เทียบ ฎ.434/2504,7592/2547)
และเมื่อเป็น #คดีความ ศาลของไทย จะถือว่า #เป็นสัญญาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนทันที ทำให้ศาลเข้ามาวินิจฉัยได้เลยว่า ข้อตกลงส่วนใดบ้างที่ขัดต่อความสงบฯ โดยเฉพาะการเรียกค่าจ้างเป็นร้อยละของเงินหรือทรัพย์สินที่จะได้ ศาลถือว่าการเรียกค่าจ้างแบบนี้ทำไม่ได้ #จะต้องเรียกในจำนวนที่แน่นอนไปเลยห้ามผันแปรไปตามเงินหรือทรัพย์สินที่จะได้
แนวคิดของศาลฎีกา #เป็นการยึดเอาตามข้อห้ามในครั้งแรกของการมีพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ.2475 ซึ่งในยุคนั้น กฎหมายให้อำนาจของ ประธานศาลอุทธรณ์กำหนดข้อห้ามของทนาจยความได้ ซึ่งหนึ่งในข้อห้ามที่ถูกำหนด คือ ""..... ห้ามมิให้ทนายความปลูกความหรือยุยงส่งเสริมให้ลุกความเป็นความกันและห้ามมิให้เรียกเอาค่าจ้างจากส่วนแบ่งจากเงินหรือทรัพย์สินที่ลูกความจะได้รับหรือจากเงินหรือทรัพย์สินที่เป็นความกัน .....""
แต่ปัจจุบัน พระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ.2475 ถูกยกเลิกไปแล้ว ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น พระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ.2528 ซึ่งกฎหมายใหม่นี้ได้ตัดอำนาจของประธานศาลอุทธรณ์ออกไป #จึงทำให้ข้อห้ามที่เคยกำหนดไว้นั้นถูกยกเลิกไปด้วย แต่ศาลฎีกาของไทยก็ยังคงยึดถือเอาข้อห้ามดังกล่าวอยู่ โดยการนำกฎหมายแพ่งฯ มาตรา 150 มาปรับแก่สัญญาดังกล่าวแทน
แต่ถึงแม้ว่า ศาลฎีกาจะยังคงถือตามข้อห้ามเดิมในสมัยก่อนก็ตาม #แต่ศาลฎีกาก็ผ่อนคลายลงไปมากแล้ว จากแต่เดิมที่ห้ามเรียกค่าจ้างเป็นอัตราร้อยละจากเงินหรือทรัพย์สินในคดีเลยเด็ดขาด เปลี่ยนเป็นว่า #ห้ามเฉพาะ เรียกเป็นร้อยละจากเงินหรือทรัพย์สินที่จะได้ #ในลักษณะของการขอเอาส่วนแบ่งจากเงินหรือทรัพย์สินที่ลูกความจะได้รับ เท่านั้น
จุดสำคัญ คือ
"" ..... ห้ามคิดร้อยละในเงินหรือทรัพย์สินที่จะได้ในลักษณะเข้าไปขอส่วนแบ่งจากเงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับมา .....""
#ถ้าไม่ใช่การขอส่วนแบ่งโดยตรง แต่เป็นเพียงการเอายอดเงินหรือมูลค่าของทรัพย์สินที่ลูกความได้รับมานั้น #มาเป็นฐานในการคิดอัตราร้อยละ กรณีแบบนี้ ศาลฎีกาถือว่า ไม่เข้าลักษณะการขอส่วนแบ่ง (** แต่แนวฎีกานี้ ยังไม่เป็นบรรทัดฐานเท่าไหร่ เพราะยังสุ่มเสี่ยงอยู่ **)
เช่น "" ..... คิดค่าจ้างว่าความ ในอัตราร้อยละ 10 % ของจำนวนเงินหรือมูลค่าทรัพย์สินที่จะได้รับ ....."" แบบนี้ไม่ถือว่าเข้าไปมีส่วนได้เสียโดยตรงกับเงินหรือทรัพย์สินที่จะได้รับ #เพราะเงินที่ลูกความได้มานั้นทนายความเข้าไปขอส่วนแบ่งโดยตรงไม่ได้ ไม่ตกเป็นโมฆะ
(เทียบ ฎ.4454/2528,5229/2544)
#สำหรับคดีที่กำลังเป็นข่าวอยู่นี้ ADMIN เห็นว่า อดีตทนายความของแม่แตงโมนั้น ร่างสัญญาโดยคิดค่าจ้างเป็นอัตราร้อยละจากเงินหรือทรัพย์สินที่แม่แตงโมจะได้ #โดยไม่ได้เข้าไปขอส่วนแบ่งโดยตรงจากเงินหรือทรัพย์สินที่จะได้รับมา เป็นแต่เพียงการใช้จำนวนเงินเป็นฐานในการคิดอัตราร้อยละเท่านั้น แต่จากการแถลงข่าว เห็นว่า เมื่อได้เงินมาแล้ว ทนายความก็หักเงินที่ได้มาเป็นค่าจ้างเลย #ซึ่งกรณีแบบนี้ถือว่าเข้าไปมีส่วนได้เสียโดยตรงในเงินที่ได้มา ซึ่งหากแม่แตงโมไม่ได้ยินยอมตั้งแต่แรก ก็จะหักเงินแบบนี้ไม่ได้ แต่หากแม่แตงโมยินยอมก็ถือเป็นการชำระเงินค่าจ้างกันตามปกติ
ฉะนั้น สัญญาจ้างระหว่างทนายชัยวัฒน์ กับ แม่แตงโม นั้น #จึงยังไม่แน่ชัดว่าจะตกเป็นโมฆะหรือไม่ เพราะแม้เป็นการคิดอัตราร้อยละจากเงินที่จะได้ก็จริงอยู่ #แต่ไม่ได้เข้าไปขอส่วนแบ่งโดยตรงจากเงินดังกล่าว เพราะเงินที่ได้มาจะต้องส่งมอบให้แม่แตงโม หรือต้องให้แม่แตงโมได้กรรมสิทธิ์ไปก่อน แล้วถ้าจะชำระค่าจ้างกัน ก็ค่อยให้แม่แตงโมส่งมอบเงินให้ในภายหลัง
ADMIN เห็นว่า ไม่ว่ากรณีใดๆก็ตาม ไม่ควรเอาการคิดค่าจ้างไปพ่วงหรือผูกโยงกับเงินหรือทรัพย์สินที่ลูกความจะได้รับ #ควรเรียกเป็นจำนวนเงินที่แน่นอนไปเลย และ #แม้จะเรียกเป็นเงินจำนวนแน่นอนก็จะต้องไม่ใช่ลักษณะเข้าไปขอส่วนแบ่งโดยตรงจากเงินที่ลูกความจะได้รับด้วย จึงจะไม่ตกเป็นโมฆะ ______""
#คดีโลกคดีธรรม
อ้างอิงจาก: fb กลุ่ม คดีโลก คดีธรรม