หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

เรื่องรักสำหรับผู้ใหญ่ : คืนนี้

เนื้อหาโดย หนามดอกงิ้ว

 ทำไมคนบางคนถึงเหมือนมีสปอตไลท์ส่องถึงตลอดเวลานะ

            นั้นเป็นประโยคคำถามที่ “จันทร์เจ้า” ถามตัวเองเมื่อราวห้าปีก่อน ตอนนั้นผู้ชายคนนั้นก็ยืนร้องเพลงอยู่บนเวทีเล็กๆ คล้ายแบบนี้ แต่เหนือสิ่งอื่นใด เขาเป็นคนที่อยู่ท่ามกลางเพื่อนๆ เสมอ ตรงข้ามกับเธอที่แทบไร้ตัวตน เธอไม่มั่นใจว่าจะมีคนรู้ด้วยซ้ำว่าเวลานี้เธออยู่ในร้านอาหารกึ่งผับแห่งนี้ด้วย

            “วันนี้ร้านไม่เปิดรับคนนอกนะครับ พอดีพวกเราเหมาร้านไว้แล้ว”

            ใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นหญิงสาวผลักบานประตูเข้ามาแล้วกวาดตามองโดยรอบ ชายหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยขึ้น ในมือของเขามีแก้วเหล้าเขามองหญิงสาวพยายามคิดว่าเธอคนนี้เป็นเพื่อนร่วมรุ่นของเขาหรือเปล่า เพราะวันนี้พวกเขานัดพบปะเพื่อนฝูงสมัยเรียนมัธยมปลายกัน

            “ค่ะ” 

จันทร์เจ้าพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเรียบเฉย เธอไม่ใช่คนสำคัญในห้องจริงๆ ไม่มีใครจำเธอได้ด้วยซ้ำไป กำลังคิดอยู่ว่าจะหากแนะนำชื่อตัวเองไป คนที่ยืนตรงหน้านี้จะจำเธอได้ไหม หรือเธอต้องเล่าวีรกรรมแย่ๆ เพื่อยืนยันว่าเคยเรียนห้องเดียวกันมา ขณะเดียวกันนั้นเอง สายตาของเธอมองไปบนเวทีขนาดเล็กอีกครั้ง ชายหนุ่มที่ยึดครองไมโครโฟนอยู่ตรงนั้นก็สบตากับเธอเข้าพอดี  แม้จะขยับปากส่งเสียงร้องเพลงอยู่แต่แววตาของเขาจ้องมองเหมือนครุ่นคิดก่อนจะเป็นประกายตื่นเต้นดีใจ

            ‘ดีใจ’

            จันทร์เจ้าส่ายหน้าไปมา เธอคงคิดเข้าข้างตัวเองไป คนอย่างนาย ‘ฐานทัพ’ นะหรือจะมาดีใจที่เจอเธอ หรือจะให้พูดตรงๆ เขาจำเธอได้ด้วยเหรอ

            โดยไม่รู้ตัว เท้าทั้งสองถอยหลังและเตรียมจะออกไป แสร้งทำเป็นว่าเธอมาผิดร้านก็แล้วกัน

            “จันทร์เจ้า!”

            ชื่อของเธอดังผ่านไมโครโฟน ทำให้บรรดาหนุ่มสาวที่กำลังเต้นรำถึงกับชะงักแล้วมองตามสายตานักร้องหนุ่มที่มองมาทางเธอซึ่งยืนอยู่ตรงประตูร้านทางเข้าร้าน

            “จันทร์เจ้า?”  คนที่ทักเธอที่ประตูพึมพำแล้วกวาดตามองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าขึ้นลงอย่างไม่เกรงมารยาท “นี่...จันทร์เจ้าเหรอ”

            “อืม เราเอง”

 หญิงสาวพยักหน้ารับ แต่เธอก็ไม่รู้จะพูดอะไรยังไงต่อ เพราะคนที่บอกว่าวันนี้มีมิตติ้งของเพื่อนร่วมห้องเรียนชั้นมัธยมก็คือพี่เดือนวาดเป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอซึ่งเป็นเจ้าของร้านนี้ เธอเหมือนแขกไม่ได้รับเชิญ  ไม่รู้อะไรดลใจให้เธอโผล่มาแบบนี้

            “ฐานทัพ”เดินลงจากเวทีเดินเร็วๆ มาตรงดิ่งมาทางจันทร์เจ้า ใบหน้าคมเข้มระบายยิ้มกว้าง และเมื่อเขาหยุดยืนเบื้องหน้าทำให้จันทร์เจ้ารู้สึกได้ว่า เขาสูงขึ้นกว่าเดิม ไหล่ก็กว้าง ร่างกายกำยำบึกบึน ไม่รู้ว่าเขายังเล่นบาสเก็ตบอลอยู่ไหม? หรือเข้าฟิตเนต หรือเพราะทำงานก่อสร้างถึงได้ดูกำยำมากขนาดนี้  จันทร์เจ้าจำได้ว่าพี่เดือนวาดบอกว่าเขาทำงานเป็นหัวหน้าผู้รับเหมาก่อสร้าง สืบทอดกิจการของครอบครัว

            “ไปนั่งข้างในสิ”  ฐานทัพเอ่ยชวนแต่คว้าข้อมือเรียวเล็กของเธอกึ่งลากกึ่งจูงให้ไปนั่งที่โต๊ะของเขา  เขาเลื่อนเก้าอี้ให้แล้วกดไหล่ให้เธอนั่งลง

            “ดื่มไหม?” 

            “ได้...ได้สิ”

            “เหล้าหรือเบียร์”

            “เอ่อ...”

            “ค็อกเทลไหม อืม เราเลือกให้แล้วกันนะ”

            ราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจ เจ้าของร่างสูงโปร่งหมุนตัวเดินไปที่เคาน์เตอร์บาร์สั่งเครื่องดื่มให้หญิงสาว 

            จันทร์เจ้านั่งอยู่กับเพื่อนผู้หญิงร่วมชั้น เธอจำคนอื่นๆได้หมด แต่เหมือนหลายคนจะจำเธอไม่ได้ ใครจะไปจำเธอได้กันเล่า ตอนเรียนมัธยมเธอไม่ค่อยสนิทกับใครนัก ชีวิตเธอมีแค่โรงเรียนและบ้าน แม้จะมีรายกลุ่มที่ต้องทำ แต่เธอก็แค่ทำงานให้เสร็จไม่ได้สุงสิงกับใครเป็นพิเศษ และที่สำคัญ เธอลาออกกลางเทอม...

แต่สายตาของเธอมี ‘ฐานทัพ’ อยู่เสมอ เขาเป็นคนเรียนปานกลาง แต่โดดเด่นเพราะเป็นนักกีฬาตัวแทนโรงเรียนและที่สำคัญ ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มอยู่เสมอ หัวเราะตลอดเวลา เหมือนว่าโลกของเขาไม่เคยมีความทุกข์อะไร

            และเหมือนวันนี้เขาก็ยังเป็นอย่างนั้น

            “ได้ยินว่าไปเรียนต่างประเทศใช่ไหม”  เพื่อนคนหนึ่งชวนคุย

            “จ๊ะ”  จันทร์เจ้ารับคำสั้นๆ ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรมากแค่ไหน เกรงว่าจะกลายเป็นอวดตัวเกินไป

            และเพราะคำตอบสั้นๆ ทำให้คนอื่นไม่กล้าถามอะไรอีก

            ไม่กี่นาทีต่อมา ฐานทัพเดินกลับมาพร้อมเครื่องดื่มสีชมพูหวาน เขาส่งแก้วเครื่องดื่มให้จันทร์เจ้าแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ว่างข้างเธอ

            “กลับมาเมื่อไหร่”

            “เกือบปีแล้ว”  เธอตอบ เขาเป็นคนเดียวที่เธอพูดคุยด้วยบ่อยมากที่สุดในชั้นเรียน เวลาทำรายงานกลุ่มที่ไร เขามักเดินมาหาเธอก่อนทุกครั้งไป

            “แล้วคราวนี้กลับมาอยู่เลยหรือว่าจะกลับไปอีก”  เขาถามพลางยกแก้วเครื่องดื่มของตนขึ้นดื่ม

            จันทร์เจ้าที่กำลังดื่มเครื่องดื่มสีชมพูของตนชะงักไปเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะถ้อยคำที่เป็นกันเองเท่านั้น แต่เพราะการนั่งใกล้กันและแขนข้างหนึ่งของเขาพาดมาที่พนักเก้าอี้ของเธอ ท่าทีสบายๆ และยังคงหันไปคุยกับเพื่อนคนอื่นด้วยนั้น  ช่วยลดช่องว่างที่ห่างเหินแต่ในขณะเดียวกันมันก็ดูใกล้ชิดเกินไป

            เหมือนเขาจะไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลย

            “เรามาร้านนี้บ่อยๆ จำได้ว่าพี่เดือนวาดเป็นญาติเธอก็เลยได้ถามข่าวคราวเรื่องของเธอบ้าง”  เขาอธิบายราวกับกลัวว่าเธอจะเข้าใจผิด

            “อ่อ”  จันทร์เจ้าพยักหน้ารับแล้วดื่มเครื่องดื่มของตัวเองต่อ ย้ายสายตามองไปบนเวทีที่เพื่อนคนอื่นแย่งไมค์กันร้องเพลงคาราโอเกะกันสนุกสนาน

            “ทำตัวเป็นเด็กกันจริงๆ”  ฐานทัพหัวเราะเมื่อรู้ว่าจันทร์เจ้ามองอะไรอยู่ เขาลุกขึ้นไปเอาเครื่องดื่มมาพร้อมของคบเคี้ยวให้จันทร์เจ้า และเพราะเสียงร้องเพลงที่ดังอยู่ในตอนนี้ทำให้เขายื่นหน้าไปกระซิบถามที่ข้างหูของหญิงสาว

“กินอะไรมาหรือยัง เธอมาช้านะ คนอื่นกินข้าวกันไปหมดแล้ว”

            ลมหายใจอุ่นร้อนปะทะใบหูทำให้จันทร์เจ้าตัวแข็งไปเล็กน้อย ไม่กล้าแม้แต่จะหันไปคุยกับเขาตรงๆ

            “กินมาแล้ว เรา...เราแค่แวะมา ไม่ได้บอกล่วงหน้า...เดี๋ยวเราช่วยหารค่า...”

            “ไม่เป็นไร เพื่อนกันอย่าคิดมาก”  

เขาพยักหน้ารับแล้วกลับไปนั่งตามเดิม สมัยม.ปลายเขาจำได้ดีว่าจันทร์เจ้าถักผมเปียอยู่เสมอแม้จะอยู่ม.6แล้ว แต่วันนี้เธอปล่อยผมยาวสยายถึงกลางหลัง สวมชุดเดรสสีม่วงอ่อนเรียบง่ายแต่กลับขับเน้นรูปร่างส่วนเว้าส่วนโค้งได้อย่างน่ามอง ใครต่อใครมักพูดว่าเพื่อนสมัยมัธยมมีความหมายกับชีวิตมากที่สุด แต่ฐานทัพรู้สึกมาตลอดว่าจันทร์เจ้ามักใช้ชีวิตคนเดียวไม่สนิทสนมกับใคร  เหมือนปิดกั้นตัวเองเสมอมา เธอเป็นเด็กเรียนดีหากไม่ได้ที่1ก็ได้ที่2ของห้องมาตลอด แต่เพราะความพูดน้อยและทำตัวห่างเหิน นานวันเข้า เพื่อนๆ ต่างก็ค่อยๆ ถอยห่างออกไป  แต่เขายังคงเฝ้ามองเธอมาตลอดจนเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน  คนไม่เคยขาดเรียนอย่างจันทร์เจ้าหยุดเรียนและไม่กลับมาอีกเลย

            ‘จันทร์เจ้าย้ายตามผู้ปกครองไปอยู่อเมริกาแล้วนะทุกคน’

            มีหลายเรื่องมากมายที่เพื่อนในห้องพูดถึงจันทร์เจ้าในทางไม่ดีนัก แต่เขาคิดเสมอว่ามันไม่เกี่ยวอะไรกับเธอเลยสักนิด ว่ากันว่าเธอเป็นลูกเมียน้อย เมียหลวงตามราวีแม่กับเธอจนทั้งคู่ต้องย้ายบ้านกันอยู่บ่อยๆ บางคนถึงขนาดพูดว่าจันทร์เจ้ามีเสี่ยเลี้ยงดู เขารับรู้อย่างหงุดหงิด ยิ่งจันทร์เจ้าไม่เคยแก้ต่างให้ตัวเอง เขากลับรู้สึกอยากปกป้องเธอ

            มันอาจเป็นความรู้สึกแบบเด็กวัยรุ่น แต่เมื่อวันที่จันทร์เจ้าไม่อยู่ เขาถึงรู้ว่าเธอคือคนพิเศษในหัวใจของเขา

            ผ่านมาห้าปี ได้พบกันอีกครั้ง ต่างเติบโตขึ้นในวิถีทางของตนเอง  แม้มีผู้คนมากมายผ่านเข้ามาในชีวิต แต่เขามักคิดถึงจันทร์เจ้าอยู่เสมอว่าเธอจะเป็นอย่างไร ใช้ชีวิตแบบไหน หรือมีครอบครัวไปแล้ว จนเขามาเจอกับเดือนวาด- ลูกพี่ลูกน้องของจันทร์เจ้าจึงลองพูดเปรยๆ ว่าเขาเคยเรียนห้องเดียวกับจันทร์เจ้า พี่เดือนวาดจึงบอกเล่าเรื่องของคนที่เขาคิดถึงให้ฟังบ้าง  ปกติเขากับเพื่อนร่วมชั้นมักนัดเจอกันปีละหน เขาจึงตั้งใจนัดพบกันที่ร้านของพี่เดือนวาด เผื่อจะมีสักครั้งที่จันทร์เจ้าจะกลับมา

            แล้วก็มีวันนี้...คืนนี้ที่นำพาเธอกลับมาจริงๆ

 ...............

           

อาจเพราะเครื่องดื่มสีสวยที่ผสมแอลกอฮอร์เหล่านั้นทำให้จันทร์เจ้าพูดคุยมากกว่าปกติ ยิ้มและหัวเราะมากกว่าที่เคย รวมทั้งถูกชายหนุ่มจูงแขนขึ้นไปร้องเพลงคาราโอเกะบนเวทีด้วยกัน  เธอร้องเพี้ยนแต่เพื่อนๆ กลับปรบมือให้กำลังใจ  สิ่งที่เกิดขึ้นสลายความห่างเหินที่เคยมีมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ

            เพื่อนร่วมรุ่นหลายคนยังโสด บางคนคนแต่งงานแล้ว และบางคนมีลูกที่ยังเด็ก งานมิตติ้งเล็กๆ แสนอบอุ่นจึงยุติเมื่อนาฬิกาบอกเวลาสี่ทุ่มเศษ ใครที่ไม่มีภาระใดๆ ก็นัดหมายกันไปดื่มต่อ พวกเขาชวนจันทร์เจ้าไปด้วย แต่หญิงสาวส่ายหน้าไปมา

            “ไม่ไหวแล้ว ไว้คราวหน้าแล้วกัน”

            “ไว้นัดเจอกันอีก”

            “อืม”

            จันทร์เจ้ายืนส่งเพื่อนๆ ที่หน้าร้าน หลายคนรู้ว่าจันทร์เจ้าเป็นญาติกับเจ้าของร้านจึงเข้าใจว่าเธอคงจะอยู่ต่อเพื่อช่วยพี่สาวเก็บร้าน แต่ความจริง เธอแค่ยืนโงนเงนอยู่หน้าร้าน และพี่เดือนวาดก็ไม่ได้อยู่ดูแลร้าน เพียงแค่ให้เด็กๆ ในร้านคอยดูแลลูกค้าที่เหมาร้านในคืนนี้

            “กลับยังไง”

            เสียงทุ่มต่ำเอ่ยถามทำให้จันทร์เจ้าหันไปมองทางต้นเสียง ฐานทัพกำลังสวมเสื้อแจ็คเก็ตยีนส์สีเข้ม หญิงสาวกวาดตามองอย่างพิจารณา คนตัวสูงสวมเสื้อยืดสีขาวมีเสื้อแจ็กเก็ตยีนสวมทับสีเดียวกับกางเกงยีนที่สวมอยู่

            “เอ่อ...จะเรียกแท็กซี่นะ”

            “หือ? แท็กซี่นี่นะ”  ฐานทัพเบิกตากว้าง “เธอคิดจะเดินออกไปโบกแท็กซี่เหรอ นี่ไม่ใช่กรุงเทพฯ นะ”

            “ก็...ตอนมา...เรามาแท็กซี่นะ พี่เดือนเรียกให้”

            ฐานทัพโคลงศีรษะไปมาจะหัวเราะก็หัวเราะไม่ออก เพราะสีหน้าอีกฝ่ายไร้เดียงสาเหลือเกิน

“อยู่ที่นี่ถ้าเธอจะเรียกแท็กซี่ต้องโทรตามนะ ไม่ใช่ไปยืนริมถนนแล้วรอโบกรถเอา”

            “อ้าว...เหรอ...” จันทร์เจ้าลากเสียง อุตส่าห์ดีใจที่ที่นี่มีแท็กซี่แล้ว ไม่เหมือนตอนเด็กๆ ที่เธอจะไปไหนทีต้องนั่งรถสองแถวหรือรอรถประจำทางระหว่างจังหวัดผ่านมา

            “มาเถอะ เดี๋ยวเราไปส่ง”

            “เอ่อ...”

            “เป็นอะไร ถึงเราจะดื่มแต่ไม่ได้เมานะ”  เขายิ้มให้ “ที่เห็นยกแก้วบ่อยๆ นั้นมันน้ำอัดลม เรารู้ว่าเราต้องขับรถกลับเลยไม่ดื่มหนัก”

            “ถ้าอย่างนั้น คงต้องรบกวนด้วย”

            “รบกวนอะไร พูดจาห่างเหินจริงๆ” เขาหัวเราะแล้วเดินนำเธอมา แต่หางตาเห็นคนตัวเล็กเดินโซเซ เขาจึงหยุดเดินแล้วหมุนตัวมาประคองไหล่ของหญิงสาวไว้ “ไว้หรือเปล่าเนี้ย”

            “เพราะนายนั้นแหละ” เธอยื่นปากใส่เขา “เอาเครื่องดื่มให้เราดื่มตลอดไม่ได้ขาดตอนเลย”

            “ก็เห็นเธอชอบ”  ฐานทัพหัวเราะในลำคอประคองหญิงสาวไปที่รถกระบะโฟว์วิวแบบสี่ประตู “ยืนดีๆ เราเปิดประตูให้” 

            ฐานทัพไม่เคยบริการใครขนาดนี้มาก่อน แต่เขากลับรู้สึกดีที่ได้ดูแลหญิงสาว เขาไม่มีเจตนามอมเหล้าเลยสักนิด แค่เห็นเธอดื่มแล้วผ่อนคลาย สีหน้าก็ไม่ได้เรียบตึงจนเพื่อนคนอื่นไม่กล้าชวนคุย เขาจึงลำเลียงค็อกเทลให้ไม่ได้ขาด ทำให้คนตัวเล็กถึงกับโงนเงนไปมาอย่างนี้ เขาประคองจันทร์เจ้าขึ้นรถและปิดประตูให้เรียบร้อยจึงเดินมาที่ฝั่งคนขับ สตาร์ทรถแล้วเอ่ยถาม

 “ไปบ้านเดิมใช่ไหม”

            จันทร์เจ้าพยายามเบิกตาขึ้นจ้องมองคนด้านข้าง “นายรู้เหรอว่าบ้านเราอยู่ไหน”

            “อืม” เขาพยักหน้า “ก็บ้านเธออยู่ทางเดียวกับบ้านเราไง”

            “เราไม่นึกว่าจะมีคนรู้ว่าเราอยู่ที่ไหนเสียอีก”

            “บ้าสิ ห้องเรามีแค่สามสิบสองคน เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ม.สี่ทำไมจะไม่รู้เล่า”

            หญิงสาวคลี่ยิ้มเศร้า เป็นเธอสินะที่ไม่รู้เรื่องของใครเลย

            “ตกลงไปบ้านเดิมนะ”

            “ไปไม่ได้แล้ว”

            “อ้าว” เขาทำหน้างง

            “บ้านหลังนั้นขายไปแล้ว”

            “อ้าว”

            “นายพูดคำอื่นบ้างก็ได้นะ”   จันทร์เจ้าหัวเราะแล้วยื่นมือไปดึงแก้มเขาเบาๆ

            ฐานทัพปล่อยให้อีกฝ่ายทำได้ตามใจโดยไม่ปัดออก อาจเพราะท่าทางเหงาเศร้านั้นทำให้เขาอยากดูแลเธอก็เป็นได้

            “เราไม่รู้ว่าบ้านหลังนั้นขายไปแล้ว”

            จันทร์เจ้าไม่ได้พูดอะไร บางเรื่อง มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้พูดถึง ที่มาที่นี่ก็เพราะมาทำธุระเรื่องเอกสารต่างๆ  ไม่เช่นนั้น เธอคงไม่มีเหตุผลให้กลับมาที่บ้านเกิดนี่อีก

            “แล้วนี่พักที่ไหน บ้านพี่เดือนเหรอ”

            “เราพักโรงแรม”  เธอบอกชื่อโรงแรมห้าดาวของเมืองนี้  “เราไม่อยากรบกวนพี่เดือน ตอนนี้พี่เดือนก็มีครอบครัว มีสามีมีลูกเล็กๆ”

            “เธอนี่ชอบทำตัวเหมือนตัวเองเป็นภาระคนอื่นเสียจริง”

ฐานทัพไหวไหล่แล้วขับรถออกไป มุ่งหน้าไปโรงแรมที่เธอบอกเขา เขานึกถึงวันวัยที่ผ่านมา จันทร์เจ้ามักเป็นอย่างนี้เสมอ ที่เธอปลีกตัวออกห่างจากคนอื่นเพราะไม่อยากเป็น ‘ภาระ’ ของใคร  น้อยครั้งที่จะเห็นจันทร์เจ้ายิ้มหรือหัวเราะ แต่วันนี้เธอเหมือนปลดล็อกให้ตัวเองและเพื่อนร่วมชั้น  อย่างน้อย เธอก็ไม่ใช่คนเย็นชาอย่างที่ใครต่อใครเข้าใจ

 รถเคลื่อนออกมาได้ไม่กี่นาที เขาก็รู้สึกหน่วงที่ไหล่จึงปรายตามอง เห็นเพียงศีรษะของเธอเอนลงพิงต้นแขนของเขา ลมหายใจสม่ำเสมอทำให้เขารู้ว่าเธอหลับไปแล้ว  กลิ่นหอมจากเรือนกายของหญิงสาวทำให้หัวใจของเขาสั่นไหว เขาเม้มปากครุ่นคิด  อยากยืดเวลานี้ไว้ให้นานเหลือเกิน

หรือเขาควรขับรถวนรอบหอนาฬิกาสักสามสี่รอบก่อนค่อยไปส่งที่โรงแรมดีไหมนะ.

 

                .............

 

เหมือนได้ปลดล็อกตัวเอง

            จันทร์เจ้ารู้สึกอย่างนั้น ที่ผ่านมาเธอมักคิดว่าการเป็นลูกเมียน้อยคือสิ่งที่ทุกคนในห้องรังเกียจ แต่ความจริงแล้วเป็นตัวเธอที่ทำห่างเหินจากคนอื่น ทำให้เพื่อนไม่กล้าเข้าใกล้  คืนนี้ได้พูดคุยจึงรู้ว่าหลายคนยังคงจำเธอได้เป็นอย่างดี รู้สึกมีตัวตนในสายตาคนอื่น หากใครต่อใครพูดว่า อย่าแคร์คนอื่นมากไป ซึ่งมันก็ใช่ แต่ในความเป็นจริง เรายังคงต้องการมีตัวตนในโลกใบนี้

            หญิงสาวรู้สึกเหมือนมีอะไรมาสัมผัสที่แก้ม เธอปรือตาขึ้นมองสิ่งรบกวนก็พบใบหน้าหล่อเหลาก้มลงมาใกล้ ดวงตาของเขาจ้องมองเหมือนโลกของเขามีเพียงเธอเท่านั้น ราวกับความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง เธอขยับศีรษะเล็กน้อยแล้วยื่นหน้าประทับริมฝีปากที่เผยอขึ้นเล็กน้อยของอีกฝ่าย

            สัมผัสแผ่วเบา แต่ทำให้ทั่วร่างของชายหนุ่มชะงักงันไปอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

            ฐานทัพตั้งใจปลุกจันทร์เจ้าให้ตื่นเพราะมาถึงที่หมายแล้ว แต่ใบหน้ายามหลับใหลนั้นน่ามองเหลือเกิน แก้มเนียนฝาดสีเลือดแดงปลั่ง อาจเพราะฤทธิ์ค็อกเทลเหล่านั้น หรือเพราะผิวพรรณเธอดีอยู่แล้ว ริมฝีปากจิ้มลิ้มที่เผยอขึ้นหายใจ ขนตางามงอน ใบหูก็น่ารัก อะไรๆ บนตัวเธอก็น่ามองไปหมดจนเขาไม่รู้จะทำยังไงกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้ ปลายนิ้วยื่นไปสัมผัสแก้มนุ่มอย่างไม่ตั้งใจ แต่ไม่คิดว่าสัมผัสนั้นจะทำให้อีกฝ่ายลืมตาขึ้นแล้วยื่นหน้ามาประกบจูบเขาแบบนี้

            จูบ?

            ไม่ใช่แล้ว

            แบบนี้เรียกปากประกบปากต่างหาก

            จูบต้อง...

            แรงขบเม้มริมฝีปากเบาๆ แต่เรียกสติของหญิงสาว เธอกะพริบตาปริบๆก่อนจะเบิกกว้างขึ้น เมื่อมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ฝันไป ลิ้นร้อนตวัดแยกริมฝีปาก แทรกลิ้นเข้ามาเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นของเธออย่างยั่วยวน จนเธอไม่อยากผละจากความหอมหวานนี้  ลมหายใจของเขาถี่กระชั้นขึ้นแต่เธอกลับลืมหายใจจนอากาศจะหมดลง มือเล็กยกขึ้นหมายจะทุบแผ่นอกแกร่งของอีกฝ่าย ทว่ากลับทำได้เพียงวางไว้บนอกด้านที่หัวใจเต้นแรง แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้ชายหนุ่มยอมผละริมฝีปากให้เธอได้สูดลมหายใจ

            ดวงตาของเขาร้อนแรงจ้องมองอย่างเคร่งเครียดแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

            “...ได้ไหม?”

            จันทร์เจ้ายังมึนงงอยู่ได้แต่มองเขาด้วยสายตาที่สับสน จนกระทั่งเขาจับมือเธอที่วางอยู่บนอกของเขาขึ้นมาจูบกลางฝ่ามือแล้วเอ่ยซ้ำอีกครั้ง

            “ถ้าเราทำมากกว่าจูบได้ไหม”

            หากเป็นคนอื่น เขาคงไม่เอ่ยถามแบบนี้ ภาษากายของเธอคือ Yes แต่เขาไม่มั่นใจ ฐานทัพยอมรับว่าเขากลัว...กลัวว่าหากล้ำเส้นไปแล้ว เธอจะหายไปไม่กลับมาอีก

            เธอคือรักแรกของเขา กว่าจะรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองรู้สึกในวันวานคืออะไร เธอก็หายไปจากชีวิตของเขาแล้ว

            “เราอยากได้คำตอบ”

            จันทร์เจ้าไม่เคยถูกใครถามแบบนี้  เธออาจเป็นเด็กเรียนดี ทำงานในห้องแล็ป แต่เรื่องความสัมพันธ์กับผู้คนนั้นบอกได้เลยว่าเธอสอบตก แต่พอรู้สึกได้ว่าเขากำลังจะปล่อยมือ เธอก็พยักหน้ารับเบาๆ

            การตอบรับที่ไร้เสียงแต่ทำให้หัวใจของฐานทัพเต้นรัวแรง เขายิ้มแล้วเอื้อมมือไปปลดเข็มขัดนิรภัยให้ จันทร์เจ้าก้มหน้างุดหยิบกระเป๋าสะพายของตัวเองทั้งที่มันวางอยู่บนตักนานแล้ว  ฐานทัพเอี้ยวตัวไปเบาะด้านหลังหยิบเป้ใบย่อมของตนแล้วเดินลงไปเปิดประตูรถให้จันทร์เจ้า ประคองเธอลงจากรถกระบะของตนเอง

            “รถทำงานนะ”  เขาพูดเหมือนชวนคุยราวกับเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

            “นายรับช่วงต่อจากพ่อเหรอ”  ถามทั้งที่รู้ แต่เพราะไม่รู้จะคุยอะไรดี

            “อืม” เขาไม่ได้ปล่อยมือจากมือเรียวเล็ก ยังคงกุมกระชับไว้ราวกับกลัวว่าเธอจะเปลี่ยนใจแล้วเดินจูงมือกันเข้าที่พักของเธอ “เรียนจบก็ทำงานที่นี่ เราไม่ได้ไปจากจังหวัดนี้เลย”

            น้ำเสียงเหมือนตัดพ้อจนจันทร์เจ้าอดเหลือบตามองไม่ได้  แต่เขากลับหันมามองเธอตรงๆ แค่สายตาของเขาก็ทำให้รู้สึกร้อนผ่าวทั่วร่าง

            “ชั้นไหน”

            จันทร์เจ้าสะดุ้งและเพิ่งรู้ตัวว่าหยุดยืนอยู่หน้าลิฟต์ของโรงแรมแล้ว เธอก้มลงล้วงมือหยิบกุญแจออกมาจากกระเป๋าสะพาย แต่ฐานทัพยื่นมือมาหยิบกุญแจนั้นไปก่อน

            “ประมาทจริงๆ คราวหน้าคราวหลังอย่าเอากุญแจห้องมาโชว์ให้คนอื่นเห็นแบบนี้นะ”

            “ก็...นายถามว่า...”  ยังพูดไม่จบประโยคดีก็ถูกดันให้เข้าไปในลิฟต์ที่เปิดออก

            ฐานทัพส่ายหน้าไปมา กดลิฟต์แล้วหันมาจ้องหน้าอีกฝ่าย

            “ถามก็แค่ตอบไม่ต้องหยิบกุญแจออกมา” เขาทำหน้าดุใส่แต่เห็นแววตาใสๆ แล้วก็ดุไม่ลง “เธอนี่...ไปอยู่เมืองนอกมากจริงๆ เหรอเนี้ย”

            จันทร์เจ้าเบ้ปากใส่ “ทำไมเหรอ คนไปอยู่เมืองนอกต้องเป็นยังไง”

            “ก็...ช่างเถอะ เราผิดเอง” เขาโคลงศีรษะไปมา เธอเป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว คิดได้แบบนี้แล้วเขาก็ยิ้มออกมา

แต่รอยยิ้มของเขาทำให้จันทร์เจ้ารู้สึกตาพร่า เขาเป็นคนที่ยิ้มแล้วโลกละลายได้เลย แล้วเธอก็ไม่เคยต้านทานรอยยิ้มของเขาได้เลย มือที่จับกระชับมือเธออยู่นั้น ตอนนั้นไม่ได้หยาบกระด้างอย่างนี้  ช่วงที่เรียนห้องเดียวกัน เธอซุ่มซ่ามบ่อยๆ และเขาก็เข้ามาช่วยทุกครั้ง  เธอรู้ว่าเขาไม่ได้อยากแตะเนื้อต้องตัวเธอ แต่ที่ทำเพราะต้องคอยช่วยเธออยู่เสมอ

“มือคนทำงาน”

“หือ?” 

เสียงบิดลูกบิดประตูทำให้จันทร์เจ้าได้สติ เธอไม่รู้เลยว่าเขาเดินจูงมือเธอมาจนถึงห้องพักแล้ว เขาเปิดประตูให้แล้วดันร่างที่ยังงุงงนเข้าไปและปิดห้องลงกลอนเรียบร้อย

เขาปล่อยมือจากอุ้งมือนุ่มนิ่มแล้วกางนิ้วมือให้เธอดูพลางยิ้มกว้าง

“เธอลูบมือเราโดนตรงที่ด้านใช่ไหม เราก็เลยบอกว่า มือคนทำงานไง”

จันทร์เจ้าพยักหน้ารับ ยกมือขึ้นปัดปอยผมแล้วนึกได้ว่าตอนนี้อยู่ในห้องตัวเองแล้ว

“ในตู้เย็นมีน้ำไหม หิวน้ำจัง”  เขาเดินไปทิ้งเป้ไว้บนโต๊ะเล็กๆ มุมห้องแล้วเดินไปเปิดตู้เย็น ยังดีที่เธอมีน้ำดื่มและน้ำผลไม้ติดตู้เย็นไว้

“เรา...เราเข้าห้องน้ำหน่อยนะ”

ฐานทัพหยิบน้ำมารินใส่แก้ว เขาส่ายหน้าไปมา เห็นท่าทางแตกตื่นแล้วก็อดขำไม่ได้  เขายกน้ำขึ้นดื่มแล้วกวาดตามองในห้องขนาดเล็กของโรงแรม เธออยู่คนเดียว ห้องเป็นระเบียบเรียบร้อย  แม้กระทั่งเตียงนอนยังเหมือนไม่เคยถูกนอนด้วยซ้ำ  เขาถอดเสื้อแจ็คเก็ตยีนออกแล้วผาดที่พนักเก้าอี้  ตัวเขาเองกระประหม่าไม่น้อย ไม่ใช่ครั้งแรกที่เข้าโรงแรมกับผู้หญิงเสียหน่อย แต่ทุกทีมันเริ่มและจบลงแบบที่อารมณ์พาไปโดยบางครั้งไม่รู้จักชื่อด้วยซ้ำ

เสียงน้ำจากฝักบัวทำให้ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ‘อาบน้ำ’ เหรอ?  เอาไงดี จะบุกเข้าไปหรือรออกให้เธอพร้อมแล้วออกมาหาเขาดี 

ฉิบหายแล้วกู!

ฐานทัพสถบพึมพำ

เขากลับเป็นฝ่ายประหม่าเสียเอง.

..........

                       

            แรกทีเดียวคิดจะเข้ามาสงบใจให้ห้องน้ำ  แต่พอเห็นตัวเองหน้าแดงไปถึงใบหู เธอเลยคิดจะอาบน้ำให้ตัวเองคลายความตื่นเต้น แต่นึกได้ว่าไม่ได้หยิบเสื้อผ้าชุดใหม่เข้ามาด้วย  เธอจึงห่อตัวเองด้วยผ้าขนหนูสีขาว โผล่หน้าออกมาจากห้องน้ำแล้วพบว่า บนเตียงที่เธอนอนมาสองคืนนั้นมีคนร่างสูงใหญ่เอนหลังหลับไปแล้ว

            “เอ่อ...ทัพ...ฐานทัพ...”

            นี่เขารอนานจนหลับ หรือเธอไม่มีเสน่ห์ดึงดูดใจ หรือว่าเขาแค่มาขอหลับในห้องของเธอแค่นั้นจริงๆ

            จันทร์เจ้าไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ไม่ว่าเหตุผลไหนก็ดูเหมือนคำตอบไม่ได้ดีกับเธอเลยสักนิด

            หญิงสาวโน้มหน้าลงไปใกล้ๆ ผ่านมาห้าปี เค้าโครงหน้ายังเหมือนเดิม แต่ดูคมเข้มขึ้นมาก เมื่อก่อนเขาเป็นนักกีฬาของโรงเรียน รูปร่างสูงโปร่งโดดเด่นสะดุดตา แต่อาจเพราะเป็นช่วงวัยรุ่น เลยดูแขนขายาวเก้งก้างไปบ้าง แต่ตอนนี้องค์ประกอบดูสมบูรณ์แบบ ไหล่กว้างและเต็มไปด้วยมัดกล้าม ภายใต้แสงสลัวของหัวเตียงยังเห็นตอหนวดผุดขึ้นเหนือริมฝีปากที่ทำให้เธออยากลองสัมผัสดูสักครั้ง

            หยดน้ำจากเส้นผมลงบนใบหน้าของชายหนุ่ม เขาลืมตาขึ้นแล้วคลี่ยิ้มให้หญิงสาวที่โน้มหน้าลงใกล้ สองมือยื่นออกไปคว้าร่างบอบบางมาแนบชิด รวดเร็วจนอีกฝ่ายไม่ทันได้อุทานก็ถูกพลิกตัวให้อยู่ด้านล่างแล้ว

            “จับได้แล้ว”

            “มะ...ไม่ได้...นะ หนีไปไหนนี่”

            “ไม่หนีก็ดีแล้ว” น้ำเสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่โน้มลงต่ำ “เพราะเราจะไม่ให้เธอหนีไปไหนได้อีก”

            ยังไม่ทันเอ่ยถามว่าเขาพูดถึงเรื่องอะไร ริมฝีปากก็ทาบทับลงมาประกอบริมฝีปากของเธออีกครั้ง คราวนี้ลิ้นร้อนของเขาทำให้ร่างเล็กสั่นสะท้าน ทั้งหวาดหวั่นและตื่นเต้นไปพร้อมกัน ผิวกายที่โผล่พ้นผ้าขนหนูเย้ายวนน่าลูบไล้ เขากดจูบหนักหน่วงขึ้นเมื่อคนใต้ร่างไร้การต่อต้าน มือกร้านลูบไล้ผิวกายอ่อนนุ่มแผ่วเบาแต่เรียกเสียงครางหวานในลำคอของหญิงสาว เธอหอบหายใจ มือเล็กเกาะไหล่ของเขาไว้อย่างไม่รู้ตัวทำให้ทรวงอกคู่สวยแนบชิดกับแผ่นอกกำยำ ฐานทัพถอนจูบแล้วสูดลมหายใจดวงตาเป็นประกายมองหญิงสาวที่กระสับกระส่ายอยู่เบื้องล่าง เขายันกายขึ้น สองขาคร่อมร่างของเธอไว้แล้วถอดเสื้อยืดออกเผยเรือนร่างเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ สายตามองไปที่ยอดตูมสีชมพูอ่อนที่สะท้อนขึ้นลงเพราะแรงหายใจของหญิงสาว  เขายื่นปลายนิ้วไปลูบไล้บริเวณนั้นเบาๆ แต่ทำให้ร่างของเธอบิดเร่า เขาไม่ได้เร่งเร้า แต่เธอกลับต้องการเขาอย่างเหลือล้น

            ฐานทัพก้มหน้าลงจูบที่ซอกคอขาวผ่อง มือข้างหนึ่งกระตุกให้ผ้าขนหนูหลุดออกไปพ้นร่างเย้ายวนที่เวลานี้เปลือยเปล่าไร้สิ่งใดปกปิด แอร์ในห้องทำหน้าที่ของมันดีเยี่ยม แต่คนสองคนกำลังเร่าร้อนด้วยไฟเสน่หา   ปลายนิ้วที่แตะต้องร่างกายกำยำยิ่งปลุกเร้าให้ชายหนุ่มเคลื่อนริมฝีปากครอบครองยอดอกสีชมพู ความเสียวซ่านที่ไม่เคยพานพบทำให้จันทร์เจ้าเปล่งเสียงหวานครางกระเส่าออกมา  ร่างกายสั่นระริก หัวสมองไม่อาจคิดสิ่งใดได้นอกจากตอบสนองต่อสัมผัสของเขาอย่างเต็มใจ

            นิ้วกร้านปัดผ่านยอดอกสีหวานตามด้วยริมฝีปากที่ดูดดึงราวหิวโหยไล้เลียจนเปียกชุ่ม มือที่ว่างอีกข้างลูบไล้ผิวกายนุ่มเนียนจนไปถึงจุดที่เปียกชุ่ม  หญิงสาวหอบครางหนักหน่วงขึ้นเมื่อนิ้วเรียวแตะต้องส่วนอ่อนไหวที่เวลานี้ฉ่ำชื้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน  ริมฝีปากของเขายังคงดูดกลืนอกกลมกลึง ส่วนนิ้วมือนั้นแทรกเข้าไปในกลีบดอกไม้สาว

            ความคับแน่นที่ฐานทัพสัมผัสได้ทำให้เขายิ่งบอกตัวเองให้ข่มใจไปให้เชื่องช้า แต่เจ้าของเสียงหวานทำให้เขาแทบคลั่ง ยิ่งเธอบดเบียดร่างแนบชิด เขายิ่งอยากถลำลึกลงไปในแหล่งน้ำหวานแต่เพราะกลีบดอกไม้ที่ปิดสนิททำให้เขาต้องปลุกเร้าให้เธอเสียก่อนพรั่งพร้อมมากกว่านี้

            การเคลื่อนไหวของนิ้วเรียวยาวทำให้สะโพกของหญิงสาวขยับส่ายรับจังหวะของนิ้ว ความเสียวซ่านรัญจวนทำให้แยกเรียวขาออกกว้างมากขึ้น  นิ้วเรียวที่ตัดเล็บสั้นสะอาดนั้นจิกที่บ่าของเขาอย่างแรงเป็นจังหวะที่หยัดกายขึ้นและหวีดร้องเมื่อถูกเร่งเร้าจนไปถึงจุดสุดยอดด้วยร่างกายที่สั่นระริก

            เขาไม่ปล่อยให้เธอได้หยุดพัก เลื่อนใบหน้าลงไปต่ำ จูบที่หน้าท้องแล้วใช้เรียวลิ้นแทนนิ้วตวัดเลียกลีบดอกไม้สีแดงสวยเบื้องหน้า

            “ทัพ!” 

            จันทร์เจ้าเรียกอย่างตกใจ ไม่คิดว่าเขาจะใช้ลิ้นกับส่วนอ่อนไหวของเธอ แต่มันดีเหลือเกิน ลิ้นร้อนปรนเปรอจนสติพร่าเลือนไปหมด เผลอขยุ้มเส้นผมของเขาอย่างลืมตัว

            เขาชอบที่เธอเรียกชื่อเขา ทำให้เขารู้ว่าเธอไม่ได้คิดถึงคนอื่น และเขาจะทำให้เธอคิดถึงเขาเพียงคนเดียว

            ลิ้นของเขา!

            จันทร์เจ้าได้แต่ครวญครางกับสัมผัสที่เขามอบให้ แม้กระทั้งตอหนวดที่สัมผัสผิวกายก็ทำให้เธอซ่านสยิวทั้งอยากถอยหนีและกระโจนเข้าหา คงเพราะแบบนี้เขาจึงล็อกเอวเธอไว้ไม่ให้ดิ้นหนีได้ ลิ้นของเขาปาดเลียกลีบดอกไม้สาวและบางจังหวะยังใช้นิ้วขยี้จุดอ่อนไหว น้ำหวานไหลเอ่อและแอ่นตัวขึ้นให้ดื่มกินจนร่างกายเกร็งกระตุกไปอีกรอบ

            คราวนี้เขาปล่อยเธอแล้วขยับตัวออกห่างเพื่อจัดการกางเกงที่สวมอยู่ออกไปพ้นร่าง รวมทั้งคว้าซองถุงยางอนามัยออกมา จันทร์เจ้าปรือตาขึ้นมองแล้วหลุบตาลงอย่างเขินอาย แต่กระนั้นก็ยังทันได้เห็นแก่นกายที่ทำให้เธอกลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก

            “อย่ากลัว”

            เสียงของเขาแหบพร่าขณะที่โน้มหน้าลงจูบกลีบปากหวานอีกครั้ง คราวนี้เธอเรียนรู้จากเขา จูบตอบแม้ยังอ่อนด้อยประสบการณ์ไปบ้าง แต่ทำให้ฐานทัพพอใจ เรียวขาแยกออกโอบรัดเอวสอบอย่างเชื้อเชิญทำให้เขาประคองแก่นกายเข้าไปในกายสาวที่เปียกชุ่มแล้วมอบตัวตนของตนดันเข้าไปจนสุดทาง

            “อ๊า!”  จันทร์เจ้าหวีดร้องออกมา ระบายความเจ็บปวดด้วยการกัดเข้าที่ไหล่ของเขา

            “จันทร์...แน่นมาก ...”   ฐานทัพครางออกมา เขาไม่ได้โกรธที่เธอกัดเขา แต่แทบคลั่งเมื่อถูกความอ่อนนุ่มบีบรัดอย่างนี้

            “ดีไหม?”  เธอถามแยกเรียวขาออกอีกให้เขาขยับเข้ามาได้อีก จะเป็นอะไรไหมถ้าเธอจะบอกว่าเธอชอบที่เขาเข้ามาในตัวเธออย่างนี้ มันดีเหลือเกิน

            “อืม วิเศษที่สุด” เขาสารภาพไปตามจริง จันทร์เจ้าคับแน่นมากแต่ความชุ่มชื้นนั้นหล่อลื่นให้เขาสามารถเคลื่อนไหวได้

            “อื้อ...ทัพ...เรา..อือ”  จันทร์เจ้าไม่รู้ว่าตัวเองจะพูดอะไร เธอทำได้แค่เปล่งเสียงครวญครางเมื่ออีกฝ่ายขยับเอวสอบพาแก่นกายเคลื่อนไหวเข้าออกในร่องรักที่ร้อนระอุ  ความเสียวซ่านแล่นไปทั่วร่างแม้กระทั้งปลายนิ้วเท้าที่เกร็งอยู่อย่างนั้น  เขาบดเบียดรุกล้ำนำพาความเจ็บให้เลือนหายกลายเป็นความเสียวซ่านวาบหวิวที่ทวีความร้อนแรงขึ้นทุกขณะ  ดวงตาเข้มคู่นั้นจ้องมองเพียงเธอราวกับทั้งโลกของเขามีเพียงเธอเท่านั้น  นั้นทำให้ร่างกายเธอเกร็งกระตุกด้วยไปถึงจุดสุขสมอีกครั้ง

            ความคับแน่นอันอ่อนหวานทำให้เขาไม่อาจยั้งใจได้อีก รับรู้ได้ถึงแรงโอบรัดถี่รัวเพราะถึงจุดหมายของหญิงสาว เขาจับเรียวขางามออกจากเอวแล้วยกขึ้นสูงเพื่อพาดบ่า  สะโพกของเธอลอยขึ้น เหงื่อของเขาไหลอาบทั่วร่างไม่ต่างจากหญิงสาวเบื้องล่าง  เขาเคลื่อนไหวขยับสะโพกอีกครั้ง ร่างของเธอสั่นไหวตามแรงกระแทก อกคู่กลมกลึงกระเพื่อมอยู่เบื้องหน้า ดวงตาคู่งามปรือตาจ้องมองเขาเร้าอารมณ์ให้เขายิ่งขยับเอวสอบเร็วขึ้น แรงขึ้น ลึกขึ้นและถี่กระชั้นมากขึ้น

            “ทัพ..เรา...เราไม่ไหวแล้ว...”

            “ขอเรา...อีกนิด”

            เขาจับเรียวขาของเธอลงแล้วแบะไปด้านข้างเผื่อทาบตัวลงมาแนบชิด กดริมฝีปากกับริมฝีปากที่เผยออยู่ดูดกลืนเสียงครางแล้วขย่มสะโพกลงรัวจนแทบกดคนใต้ร่างจมที่นอน เขาถอนริมฝีปากแล้วซุกใบหน้ากับซอกคอของหญิงสาวพลางปล่อยเสียงครางสุขสมออกมาพร้อมระเบิดน้ำรักเมื่อไปถึงจุดสุดยอดพร้อมกับเธอ

            เขาถอนกายออกช้าๆ เอี้ยวตัวเล็กน้อยจัดการถอดถุงยางที่สวมอยู่นั้นออกแล้วค่อยทิ้งตัวลงนอนเคียงข้าง

            “โอเค.ไหม?”

            จันทร์เจ้าพยักหน้าแทนคำตอบ วงแขนแข็งแรงรวบร่างเธอมากอดจนใบหน้าเธอซุกกับอกอุ่นที่เต็มไปด้วยเหงื่อของเขา

            “ขอบคุณนะ”

            “หือ?”

            เธอเงยหน้าขึ้นอย่างงุนงงในคำพูดของเขา แต่ดวงตาเป็นประกายที่ก้มมองทำให้เธอร้อนผ่าวทั่วใบหน้า

            “ขอบคุณที่ให้เราเป็นคนแรกของเธอ”

            จันทร์เจ้าทำหน้าไม่ถูก ได้แต่แสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้กับสิ่งที่ได้ยิน

            “เราอ่อนด้อยประสบการณ์จนนายก็ดูออกเหรอ”

            “ไม่ใช่อย่างนั้น”  เขาหัวเราะเบาๆ พลิกตัวนอนตะแคงเพื่อจะได้เห็นใบหน้าของเธอชัดๆ  “เราชอบเธอ”

            “ชอบเรา?”

            “อื้ม ชอบตั้งแต่ตอนเรียนม.ปลายแล้ว”  เขายิ้มกริ่ม “อกหักตั้งแต่ยังไม่ได้บอกรัก”

            “ล้อเล่นน่า”

            “จริงๆ”  เขาถอนหายใจ ใช้ปลายนิ้วเกี่ยวผมเส้นผมยาวสลวยของเธอเล่น “เธอเป็นรักแรกของเรา แต่ยังไม่ทันได้บอกรัก เธอก็ลาออกไปก่อน ไม่คิดว่าคืนนี้จะได้พบกันแบบนี้”

            ‘และก็จบลงบนเตียง’

            จันทร์เจ้าไม่ได้พูดในสิ่งที่อยากพูด เธอไม่แน่ใจว่าเขาต้องการอะไร หรือแค่ติดค้างความรู้สึกในวันวานที่อยากทำให้มันเป็นจริงและจบลงไป

            เพื่อที่จะได้ไม่มีอะไรติดค้างต่อกัน

            “จันทร์เจ้า”

            “หือ?”

            “เราจีบเธอนะ”

            “หา”

            “โอเค. เราข้ามขั้นไปหน่อย แต่เราจะจีบเธอ”

            “นายไม่คิดว่าเรามีแฟนหรือคนรักแล้วเหรอ”

            “คิด ...แต่เราชอบเธอ เรารักเธอ แล้วเราก็อยากได้เธอ เพราะงั้น เราจะจีบเธอ ต่อให้เธอมีแฟน เราก็มั่นใจว่าเราทำให้เธอรักเราได้”

            “ตรรกะพังมาก”  จันทร์เจ้าหัวเราะออกมา  “คนมีเจ้าของแล้วไม่ควรยุ่งสิ”

            “เป็นเธอหรอกนะที่เราอยากยุ่ง”  เขาจับมือเรียวเล็กขึ้นมาจูบ “เราไม่ได้ขออนุญาตแต่เราจริงจัง”

            “ถ้า...เราไม่ใช่อย่างที่คิด...นายจะไม่เสียใจเหรอ”

            “เธอยังเหมือนเดิมนะ ห่วงความรู้สึกคนอื่นเสมอ” ฐานทัพยิ้มกริ่ม “ลองคบเราดูก่อน ถ้าไม่ดีจริงก็ยังเหลือความเป็นเพื่อนไว้ก็ได้”

            จันทร์เจ้าสบตากับชายหนุ่ม ใช่..เวลานี้เขาเป็นชายหนุ่มเต็มตัวไม่ใช่เด็กนักเรียนม.ปลายอีกแล้ว และเธอก็ควรก้าวพ้นความทรงจำในวันเก่าๆ เสียที

            “ถ้านายไม่คิดว่าคบกับเราแล้วเสียเวลาก็ลองดูก็ได้”

            “ดี” 

            ฐานทัพยิ้มกว้างแล้วพลิกตัวขึ้นเหนือร่างคนตัวเล็ก เธอกะพริบตาปริบๆ ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร แต่ในนาทีต่อมาร่างกายก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่แข็งขันคลอเคลียกายสาวที่ทำให้เธอหน้าร้อนขึ้น

            “นาย...”

            “หนึ่งในกระบวนการจีบไง เราจะปรนเปรอให้อิ่มหนำจนเธอลืมเราไม่ลง รับประกันความพอใจ ถ้าไม่ถึงใจยินดีทำซ้ำจนกว่าจะถึงจุดสุดยอด”

            “ตาบ้า!”

            เสียงหัวเราะเปลี่ยนเป็นเสียงหอบคราง การเคลื่อนไหวของเขานำพาความเสียวซ่านระลอกแล้วระลอกเล่าปรนเปรอให้หญิงสาวเก็บเกี่ยวความสุขสมแสนหวาม ชายหนุ่มเองก็ไม่ต่างกัน ทุกการเคลื่อนไหวแนบชิดเรียกร้องให้หญิงสาวตอบสนองอย่างลืมอาย โอบกอดแนบแน่นจนไปถึงจุดสุขสม

            ค่ำคืนนี้ เป็นพียงจุดเริ่มต้นของคนสองคนที่หวังว่าจะไปถึงปลายทางเดียวกัน

            หวังว่าหัวใจของพวกเขาจะพร้อมก้าวเดินไปพร้อมกัน .

 

จบ.

เนื้อหาโดย: หนามดอกงิ้ว
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
หนามดอกงิ้ว's profile


โพสท์โดย: หนามดอกงิ้ว
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
5 VOTES (5/5 จาก 1 คน)
VOTED: หนามดอกงิ้ว
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
เพลง “ไก่” จากเป้ อารักษ์ เพลงเก่าสุดยูนีค ที่กำลังเป็นไวรัลอีกครั้งรีวิวหนังดัง SAVAGES คนเดือดท้าชนคนเถื่อนคนไหนดี Sold out ไปทีละคนๆ แก๊งพระเอก แก๊งคนดีที่ไหน แต่งงานไปแล้ว2 มีแฟนรักแฟนมากไปอีก2 เหลือหนึ่งเดียวคนนี้คือพี่เกรท วรินทร20 แคปชั่นกวางเรนเดียร์ ฮาๆ น่ารักๆ แคปชั่นกวางน้อย กวางเหลียวหลัง อ่อยๆพนักงานสตาร์บัคส์[อเมริกา] ประท้วงหยุดงานจนถึงคริสต์มาสอีฟ เพื่อต่อรองค่าจ้างและเวลาทำงานโรเซ่ในลุค number one girl ของไต้หวันเงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 3 มาแน่! คนทั่วไปรับผ่านดิจิทัลวอลเล็ต กระตุ้นเศรษฐกิจปี 256850 ข้อแนะนำ!! เพื่อชีวิต "ราบรื่น" ในปี 2025หนุ่มจีนหน้าเหลี่ยมเพราะ "เคี้ยวหมากฝรั่ง" หนักมาก เผยภายใน 8 ปี เสียค่าหมากฝรั่งไปกว่า 2 ล้านบาทซีรีส์จีน “ต้นตำนานอาภรณ์จักรพรรดิ” ผลงานของ “ถานซงอวิ้น” แนวนางเอกสู้ชีวิต
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
เพจอีซ้อขยี้ข่าว เผย มีกระแสคนโพสต์ ขอรับซื้อลูกอัณฑะคู่ละ12ล้าน...เมื่อฉันไปบาหลี EP.6 Tirta Empul Templeเพชรปากปลาร้าหน้าเป๊ะ ลองทาลิปสติกบนปาก ทำเอาทัวร์ลงสนั่น ร้านค้ารับเรื่อง สั่งให้โละยกแผงเลย!Labubu คอลเลคชั่นใหม่ เปิดขายไทย แต่คนจีนเหมาเกลี้ยง!โรเซ่ในลุค number one girl ของไต้หวันรีวิวหนังดัง SAVAGES คนเดือดท้าชนคนเถื่อน
กระทู้อื่นๆในบอร์ด นิยาย เรื่องเล่า
“ฉันทำเงินได้เป็นล้านดอลลาร์จากการขายรูปเท้า!” สาวฝรั่งเผยที่มาของรายได้อาชีพเสริม!ซีรีส์จีน “ต้นตำนานอาภรณ์จักรพรรดิ” ผลงานของ “ถานซงอวิ้น” แนวนางเอกสู้ชีวิตอดนอน 15 วัน! เล่าเรื่องหลอนเกิดอะไรขึ้นจากการทดลองสุดสยอง?เสียงกระซิบในความมืด
ตั้งกระทู้ใหม่