เวียดนาม11:เรื่องราวจากเมืองเว้
เมืองเว้มีประวัติศาสตร์ตั้งแต่นครจักรพรรดิหรือพระราชวังที่ จักรพรรดิยาลอง องค์ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์เหวียนเป็นผู้สถาปนาขึ้น เดิมเมืองเว้นั้นเป็นเมืองเล็กๆที่ตั้งอยู่ใจกลางของประเทศเวียดนาม หลังจากรวมประเทศได้ประมาณ 33 ปี ฝรั่งเศสก็บุกเข้าโจมตีเมืองเว้ เกิด มหาสงครามเอเชียบูรพา เมื่อปี พ.ศ. 2488 ต่อมาเมืองเว้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเวียดนามใต้ตามการแบ่งประเทศออกเป็น 2 ส่วน และในที่สุดเวียดนามเหนือลงมายึดเวียดนามใต้และรวมกันเป็นหนึ่งได้สำเร็จ
แม้ว่าเมืองเว้จะได้รับความเสียหายจากการผ่านศึกสงครามมาอย่างโชกโชน แต่ร่องรอยแห่งความเจริญรุ่งเรืองของนครจักรพรรดิยังไม่เลือนหายตามกาลเวลา และคงอยู่พร้อมให้ซึมซับได้เต็มอิ่ม เช่น พระราชวัง สุสานจักรพรรดิหลายแห่ง และด้วยความเจริญรุ่งเรืองในอดีต โบราณสถานอันงดงามและทรงคุณค่า วัฒนธรรมที่มีแบบฉบับของตนเอง เมืองเว้จึงได้รับการประกาศจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี พ.ศ. 2536 นอกจากคุณค่าของประวัติศาสตร์อันยาวนานของเมืองเว้แล้ว คงไม่มีใครปฏิเสธถึงเสน่ห์ของสายน้ำหอม แม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่านกลางเมือง สิ่งเหล่านี้ที่เมืองเว้ ล้วนร่วมกันร่ายมนต์ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวทั่วทุกมุมโลกมาเป็นแขกให้กับเมืองนี้อย่างไม่ขาด
ไม่นานเราก็มาถึง วัดเทียนมุ (Thien Mu Pagoda) วัดแห่งนี้นับเป็นศูนย์กลางทางพุทธศาสนานิกายเซน จุดเด่นที่สุดของวัดแห่งนี้คือ เจดีย์ทรงเก๋ง 8 เหลี่ยม สูงลดหลั่นกัน 7 ชั้น แต่ละชั้นเป็นตัวแทนของชาติภพต่างๆ ของพระพุทธเจ้า รับอิทธิพลสถาปัตยกรรมมาจากจีน ล้อมรอบด้วยสวนไม้พรรณร่มรื่น วัดแห่งนี้เองมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และการเมือง ในช่วงยุคหลังของเวียดนาม เมื่อ พระภิกษุทิกกวางหยุก เจ้าอาวาสเผาตัวเองที่กลางกรุงไซ่ง่อนหรือโฮจิมินห์ซิตี้ในปัจจุบัน ในช่วงสายของวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2506 เพื่อประท้วงการบังคับให้ประชาชนไปนับถือศาสนาคริสต์และการฉ้อราษฎร์บังหลวงของรัฐบาลโงดินห์เดียมที่เป็นคาทอลิก รวมทั้งใช้ความรุนแรงขัดขวางการฉลองวันวิสาขบูชาของประชาชนในประเทศ
นับเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้มายืนอยู่ที่วัดแห่งนี้ ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่พำนักของพระภิกษุผู้มีจิตใจเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ ยึดมั่นในการเรียกร้องต่อประโยชน์ส่วนรวมของประชาชน และแน่วแน่ในการสืบทอดพุทธศาสนา โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนส่วนตนใดๆ แม้แต่ลมหายใจเพื่อดำรงชีพของตน
ถ้าเป็นเรา จะใจกล้าทำอย่างท่านมั๊ยนะ?
ประวัติศาสตร์และเรื่องราวของสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ มีประโยชน์แฝงตรงนี้แหละ ให้เราได้ตระหนักรู้ถึงคุณค่าความสำคัญของทุกเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับสถานที่นั้น และยังขยายสร้างแนวความคิดในการมองสิ่งรอบตัวในชีวิตทุกวันนี้ได้อย่างลุ่มลึกขึ้น ก็แล้วแต่ฐานความคิดและระบบความคิดที่สั่งสมของของแต่ละคน ว่าจะลุ่มลึกได้แค่ไหน หรือพอมาถึงก็แค่มาดูๆ มองๆ ถ่ายรูป ซื้อของ และไปทำเช่นนี้กับที่อื่นต่อ!
วัดเทียนมุ ตั้งอยู่เกือบหัวโค้งของแม่น้ำทำให้สามารถชมวิวภาพแม่น้ำหอมมุมกว้างพร้อมเมืองเว้อีกฝั่งได้อย่างเต็มตา นี่ถ้ามาคนเดียวคงนั่งมองสายน้ำหอมเปลี่ยนสีตามแสงตะวันไปจนเย็น ใช้เวลาอยู่ที่นี่พอสมควรจึงกลับ ฉันขอน้องทีลงตรงตีนสะพานก่อนข้ามไปยังฝั่งตัวเมือง ด้วยระยะที่หมายตาไว้ตั้งแต่ขามาว่าไม่ไกลนักและยังแอบเห็นสวนนั่งเล่นริมแม่น้ำด้วย ขอยลโฉมแม่น้ำหอมใกล้ๆหน่อยเถอะ ลมริมแม่น้ำยามเย็นน่าจะโชยพัดเย็นสบายดี
เป็นไปตามคาด บรรยากาศยามเย็นริมแม่น้ำหอมน่าประทับใจไม่น้อย เรือหาปลาของชาวบ้านแล่นผ่านไป สลับกับเรือนักท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวหลายคนนั่งอยู่ไม่ไกลจากฉันมากนัก ต่างส่งยิ้มให้กันและกล่าวคำทักทายเมื่อเดินผ่านฉันไป อากาศกำลังเย็นสบาย หยิบสมุดขึ้นมาจดบันทึก ...
นี่ผ่านมาครึ่งทริปแล้วหรือนี่? ตอนนี้เราอยู่เกือบตรงกลางของประเทศเวียดนามพอดี ประมาณระยะเวลาและระยะทางที่เหลือทั้งหมดในใจคร่าวๆ ตั้งแต่เมืองเว้นี้ไป น่าจะค่อยๆใช้เวลาสบายๆได้อย่างไม่รีบเร่งและเหนื่อยมาก ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีสะท้อนให้แสงตกกระทบในแน่น้ำเปลี่ยนสีตาม รีบเดินกลับโรงแรมดีกว่า การหาทางเดินกลับมาถึงโรงแรม ได้ทำให้รู้จักบริเวณตัวเมืองและถนนน้อยใหญ่มากขึ้น ไม่ซับซ้อนเลยสามารถเดินเล่นได้สบายๆ
เป็นคืนแรกที่ได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มตาตั้งแต่มาเยือนเวียดนาม ด้วยความสบายของห้องและปราศจากเสียงรบกวนจากภายนอกไม่เหมือนที่ฮานอย จึงเข้านอนแต่เช้าและตื่นแต่เช้าเช่นกัน ข้างโรงแรมเป็นโรงเรียน ได้ยินเสียงจอแจฟังไม่รู้เรื่องแต่เช้าตรู่ โรงเรียนที่นี่เข้าเรียนเร็วและเลิกเร็วในเวลาประมาณเที่ยงวัน วันนี้ใช้บริการสารถีพ่วงตำแหน่งไกด์คนเดิมไปชมสุสานต่างๆแต่เช้า โชคไม่ดีฝนพรำตลอดทาง ตอนแรกนึกลังเลในราคาค่าบริการที่น้องเค้าเสนอมา แอบรู้สึกว่าแพงนิดนึง แต่ระหว่างนั่งซ้อนจักรยานยนต์แล่นไปตามท้องถนน บ้านคน และค่อยกลายเป็นป่า ไกลออกไปเรื่อยๆ ระยะทางรวมทั้งหมดประมาณ 20 กิโลเมตรกลางสายฝนอย่างนี้... เปลี่ยนจากความลังเลเป็นเห็นใจน้องเค้าขึ้นมาทันที
เริ่มที่สุสานแรก Tomb of Tu Duc ที่นี่เป็นสุสานของ พระเจ้าตือดึ๊ก สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2407 ใช้เวลา 3 ปี จึงแล้วเสร็จ โดยใช้แรงงานคนถึง 3,000 คน ส่วนกลางของสุสานมีศิลาจารึกขนาดใหญ่ที่กล่าวถึงพระเกียรติคุณและเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นในรัชสมัย ส่วนตัวสุสานของพระองค์นั้นอยู่ด้านในสุด บรรยากาศภายในสวยมาก ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเข้าไปอยู่ในหนังจีนย้อนยุค ภาพสระน้ำสวยเหมือนภาพวาด ทั้งสัดส่วน ศาลากลางน้ำ การจัดสวน และแนวต้นไม้ ประทับใจเป็นพิเศษกับแถวของรูปปั้นทหารยืนเฝ้าหน้าสุสานเพิ่มความรู้สึกน่าเกรงขามได้มากทีเดียว
*ติดตามเรื่องราวทริปและงานเขียนอื่นได้ที่ https://tenlavenders.blogspot.com/
และเว็บไซต์ส่วนตัว https://tenlavenders.softr.app/