ความแตกต่างของการใช้ชีวิตในเมืองกับการใช้ชีวิตในชนบท
ทุกคนพยายามหาจุดสมดุลในการใช้ชีวิตของตัวเอง การเลือกระหว่างการพักอาศัยอยู่ในเมืองกับการพักอาศัยอยู่ในชนบทเป็นเรื่องนึงที่หลายๆคนกำลังพิจารณา บทความนี้จะบอกถึงข้อดีและข้อเสียของที่พักอาศัยทั้งสองแบบ เพื่อช่วยให้มีมุมมองในการตัดสินใจวางแผนการใช้ชีวิตในอนาคต ที่มากขึ้น
ข้อดีของการอยู่ในเมือง
- เดินทางสะดวก การคมนาคมในเมืองสะดวกสบาย และมีวิธีการเดินทางให้เลือกได้หลากหลายวิธี ยิ่งตอนนี้มีระบบขนส่งมวลชนทางรางอย่างรถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดินครอบคลุมหลายพื้นที่ ทำให้ปัจจุบันรถไฟฟ้ากลายมาเป็นระบบขนส่งมวลชนหลักของคนเมืองไปแล้ว
- เป็นศูนย์รวมของเศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง ส่วนใหญ่หน่วยงานราชการมักจะอยู่ในเขตตัวเมือง ทำให้การประสานงาน ติดต่อ และการรับข่าวสารของทางราชการ ทำได้สะดวกและรวดเร็วกว่า ส่วนการค้าขายก็จะอยู่ในเมืองมากกว่า เนื่องจากมีการกระจุกตัวของผู้คนในพื้นที่มากกว่า ส่งเสริมให้ธุรกิจมีเงินหมุนเวียนมากขึ้นและทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจมีความหลากหลายเพิ่มขึ้นด้วย
- มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมเพราะมีคนจากหลายพื้นที่มาอยู่รวมกัน ทั้งคนไทยเองและอาจจะมีคนต่างชาติรวมอยู่ด้วย จึงทำให้มีการเรียนรู้ปรับตัวเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน นอกจากนี้ยังทำให้ได้รับวัฒนธรรมที่แตกต่างออกไป เช่น วัฒนธรรมด้านการกินอยู่, วัฒนธรรมด้านภาษา เป็นต้น
- เข้าถึงโอกาสทางการศึกษาที่มากกว่า ในเมืองเป็นศูนย์รวมของการศึกษา ข้อมูลทางการศึกษาหาได้ง่ายทั้งการศึกษาในประเทศและต่างประเทศ เช่น การจัดงานสัปดาห์หนังสือ, การจัดงานนิทรรศการการศึกษาต่อต่างประเทศ เป็นต้น
- มีโอกาสในการทำงาน และเจริญเติบโต ก้าวหน้าทางอาชีพ หน้าที่การงาน บรรดาสำนักงานใหญ่ของบริษัทข้ามชาติหรือแม้แต่ของไทยก็มักจะตั้งอยู่ในเมือง
- มีอาหารการกินที่หลากหลายให้เลือกทานกันได้ตลอดเวลา สตรีทฟู้ด ตลาดโต้รุ่ง หาได้ง่ายมากในเมือง
- มีโอกาสในการได้รับการรักษาพยาบาลที่ดีกว่า โรงพยาบาลในเมืองมีทั้งแพทย์ทั่วไป, แพทย์เฉพาะทาง ตลอดจนเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัย สามารถรักษาได้ครบ ครอบคลุมทุกโรค
- มีที่พักผ่อนหย่อนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแหล่งช้อปปิ้ง โรงภาพยนตร์ สนามกีฬา สถานบันเทิงต่างๆ ให้ใช้เวลาในการพักผ่อนได้อย่างเพลิดเพลินในช่วงวันหยุด
- มีเทคโนโลยีที่เข้าถึงได้ง่าย มีสัญญาณอินเตอร์เน็ต wi-fiที่ครอบคลุมพื้นที่ทั้ง4G 5G
ข้อเสียของการอยู่ในเมือง
- การจราจรติดขัด ชีวิตในเมืองวุ่นวายและเร่งรีบตลอดเวลา ถึงแม้การเดินทางจะสะดวกสบายแต่ความหนาแน่นของผู้คนในเขตเมือง อาจทำให้การจราจรติดขัดซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางมากขึ้น ปัญหาสภาพการจราจรที่ติดขัดในเมืองนั้นสร้างความเครียด ทำให้เสียสุขภาพจิตและยังทำให้เกิดมลพิษ มลภาวะต่างๆมากมาย ยิ่งวันที่ฝนตกนอกจากจะเจอรถติดหลายชั่วโมงบนถนน บางครั้งลงจากรถแล้วยังเจอกับสภาพน้ำท่วมอีกด้วย
- ค่าครองชีพสูง เนื่องจากมีความต้องการสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น ต้นทุนต่างๆก็ขยับตัวสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าเดินทาง ค่าอาหารและค่าสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ อีกมากมาย ซึ่งส่วนนึงก็เป็นเรื่องของวัตถุนิยม การอยู่ในเมืองภาพลักษณ์เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำให้ดูดี เพราะส่วนใหญ่คนมักตัดสินกันด้วยการมองแค่ภายนอก
- มีการแข่งขันสูง ทั้งการเรียนและการทำงาน คนในเมืองมีมากแต่ตำแหน่งต่างๆมีน้อยจึงต้องแข่งขันกันเพื่อให้ได้ตำแหน่งที่ต้องการ
- มีความเสี่ยงจากอาหารการกิน ชีวิตเร่งรีบ ทำให้ไม่สามารถทำอาหารทานเองได้ต้องซื้ออาหารนอกบ้านทาน ซึ่งอันตรายต่อสุขภาพ เพราะอาหารบางอย่างก็มีวัตถุกันเสีย ใส่ผงชูรสหรืออาจจะมีสารแปลกปลอมที่คนขายเองก็ไม่รู้ ปะปนมาในอาหาร
- ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน คนส่วนใหญ่อยู่แบบต่างคนต่างอยู่ ไม่สนใจคนอื่น ผู้คนมักรู้สึกโดดเดี่ยวเมื่ออยู่ในเมืองใหญ่ เพราะอาจจะรู้สึกว่าตัวเอง ไม่สามารถปรับตัวให้เป็นส่วนหนึ่งของสังคมได้ บางครั้งก็ก่อให้เกิดภาวะการซึมเศร้าได้
ข้อดีของการอยู่ชนบท
1.ชีวิตสงบ ไม่เร่งรีบวุ่นวาย เพราะจำนวนคนในพื้นที่ไม่หนาแน่น ไม่ต้องทำทุกอย่างเพื่อแข่งขันกันและแข่งกับเวลา
2.ค่าครองชีพถูก ต้นทุนทุกอย่างต่ำ ของบางอย่างก็มีอยู่ตามธรรมชาติไม่ต้องซื้อหา ดังนั้นต้นทุนในการใช้ชีวิตประจำวันก็เลยไม่แพง
3.มีพื้นที่ บริเวณบ้านกว้างขวาง สามารถทำกิจกรรมต่างๆได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นปลูกผัก, ทำสวน หรือเลี้ยงสัตว์
4.อาหารสดสะอาด เพราะปลูกกินกันเอง เอามาแลกกัน มีเหลือก็เอาไปขาย ไม่ได้ปลูกเพื่อทำธุรกิจ
5.อากาศดี ได้สูดอากาศบริสุทธิ์จากธรรมชาติ หายใจได้โล่ง
6.มีเพื่อนบ้านให้พึ่งพาอาศัย ในหมู่บ้านนึงตั้งแต่ต้นจนถึงท้ายหมู่บ้าน ทุกคนรู้จักกันหมด มีอะไรก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ข้อเสียของการอยู่ชนบท
1.เดินทางลำบาก ไม่มีปัญหารถติด แต่ปัญหาคือไม่มีรถ นานๆจะมีรถประจำทางผ่าน ถนนบางที่ก็ยังขรุขระหรือไม่ได้ลาดยาง
2.ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเพียงพอ เช่น น้ำยังอาจจะไม่ใช่น้ำประปา, ไฟฟ้าบางวันก็ดับ, บางพื้นที่ไม่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ต
3.การเข้าถึงโอกาสต่างๆน้อย ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การทำงาน หรือ การรักษาพยาบาล
4.กลิ่น ควันรบกวน ถ้าอยู่ใกล้พื้นที่ทำการเกษตร ต้องเจอกับควันไฟที่ชาวบ้านเผาในพื้นที่เพื่อที่จะทำการเพาะปลูก รวมทั้งการพ่นสารเคมีพวกยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง
5.ไม่มีความเป็นส่วนตัว ไม่ว่าใครจะทำอะไร ทุกคนในหมู่บ้านจะรู้กันหมด
อย่าลืมว่าเราไม่ได้ใช้ชีวิตแบบปัจจุบันนี้ไปตลอด ก่อนจะตัดสินใจเลือกว่าจะลงหลักปักฐานที่ไหน ควรมีแผนสำหรับชีวิตในอนาคตไว้แล้ว เพื่อให้สิ่งที่เลือกตรงกับรูปแบบการใช้ชีวิตที่เราต้องการ