หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

อาถรรพ์แรงครู - เปรตตามกลับบ้าน

เนื้อหาโดย กัลยลิขิต

ถ้าให้นึกถึงภาพโอกาสที่จะได้ชมการแสดงนาฏศิลป์ไทย ในยุคปัจจุบันหลายคนก็คงจะนึกถึงภาพการแสดงในงานสวดศพ งานฌาปนกิจศพ งานบุญ งานเทศกาลวัดต่าง ๆ ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในยุคปัจจุบันพวกเราชาวนาฏศิลป์ต้องไปทำการแสดงในสถานที่เหล่านั้นบ่อยกว่าการแสดงในโรงจริง ๆ และแน่นอนว่าทุกครั้งก็ได้พบเจอกับเหตุการณ์แปลก ๆ อยู่เสมอ

เรื่องนี้ต้องเท้าความกลับไปเมื่อปี 2555 แม่ครูที่เป็นครูของดิฉัน ท่านเสียชีวิตในช่วงเดือนตุลาคม 2555 ด้วยความที่ตัวเองนั้นเป็นคนมีสัมผัสที่ 6 ซึ่งมันเกิดขึ้นมาจากการเคยเฉียดตายมาหลายครั้ง เลยค่อนข้างระวังตัวเวลาไปซ้อม เวลาขึ้นไปปักชุดยืนเครื่องบนห้องเครื่องชั้น 2 ของบ้านครู ซึ่งในห้องเรื่องก็จะมีหิ้งพระ หิ้งเศียรครู หิ้งครูบาอาจารย์ที่เสียชีวิตไปแล้ว เวลาขึ้นไปบนห้องนี้ก็จะกราบไหว้ทุกครั้ง แล้วก็จะสำรวมเป็นพิเศษ เรียกว่าทำงานกินนอนอยู่บนห้องนี้ก็ไม่เคยเจออะไรสักครั้ง

จนกระทั่งแม่ครูเสียชีวิตไปได้ราว 10 เดือน มันก็จะถึงช่วงไหว้ครูของที่บ้านในเดือน สิงหาคม ปี 2556 1 วันก่อนวันไหว้ครูดิฉันก็ไปช่วยที่บ้านเขาเตรียมของ หลังจากที่จัดหิ้งที่จะประดิษฐ์เศียรครูเสร็จเรียบร้อยก็จะขึ้นมาเชิญเศียรครูลงไปประดิษฐาน ตอนที่อัญเชิญหัวโขนหน้าพระอิศวร ซึ่งเป็นประธานของหิ้งลงมาปัดฝุ่นทำความสะอาดอยู่นั้นน่ะ หางตามันก็เหลือบไปเห็นว่าหน้าห้องเครื่องมีคนยืนมองอยู่ ก็เข้าใจว่าเป็นพี่ ๆ ที่จะขึ้นมาช่วยยกเศียรครูลงไป พอหันไปมองก็เห็นแม่ครูมายืนมองอยู่ไกล ๆ แต่ก็ไม่ได้ตกใจอะไรนะ เพราะเคยชินกับการที่ท่านมายืนดูเวลาพวกเราทำงาน และตอนนั้นก็ลืมคิดไปด้วยว่าท่านเสียชีวิตไปแล้ว เข้าใจว่าท่านยังอยู่ ก็เลยหันกลับมานั่งปัดฝุ่นเศียรครูต่อ

จังหวะที่กำลังจะคลานไปหยิบเศียรครูองค์ต่อไปนั้นน่ะ ตาก็เห็นว่าบนหิ้งมีรูปแม่ครูตั้งอยู่ คู่กับโกศกระดูก ก็นึกขึ้นได้ว่าแม่ครูเสียไปแล้วนี่หว่า แล้วที่เห็นเมื่อกี้ก็ต้องเป็นวิญญาณแม่ครูน่ะสิ พอคิดได้ก็หันกลับไปมอง ปรากฎว่าตรงหน้าห้องที่เห็นแม่ครูมายืนมองอยู่เมื่อกี้ไม่มีใครยืนอยู่ตรงนั้นสักคน ก็พอรู้แหละว่าแม่เขามาดูเพราะเป็นห่วง กลัวทำของพัง ก็เลยยกมือไหว้รูปกับกระดูกแก บอกแกว่าไม่ต้องเป็นห่วง จะระวังให้ดี จะช่วยจัดงานไหว้ครูออกมาให้ตรงตามที่เคยสอนสั่งเอาไว้ แล้วหลังจากนั้นก็ไม่เคยเห็นแม่ครูอีกเลย

จนกระทั้งเดือนธันวาคม ปี 2562 มีงานที่จะต้องไปแสดงที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดที่อยู่แถบปริมณฑล ออกไปทางฝั่งตะวันตกของกรุงเทพ โดยงานแสดงจะมีด้วยกันทั้งหมด 3 วัน แสดงมา 2 วันก็ไม่มีอะไร ทุกอย่างเป็นปกติดี จนกระทั่งคืนสุดท้าย ต้องบอกก่อนว่านอกจากหน้าที่นักแสดงแล้ว ดิฉันยังมีหน้าที่เป็นผู้กำกับ ทั้งกำกับการแสดง ฉาก เวที เครื่องแต่งการ เครื่องดนตรี รวมไปถึงพิธีกรรมหลังเวที เช่น การจัดหิ้งครู เตรียมเครื่องสักการะครู ตลอดจนการบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางเพื่อขออนุญาตใช้พื้นที่

ยิ่งเป็นการแสดงในวัด ศาสนสถาน พวกเรายิ่งจะถือกันมาก เราเชื่อกันว่า ณ ที่ตรงนั้นเป็นที่ของสงฆ์ เป็นที่ของดวงวิญญาณทั้งหลายที่ยังไปไหนไม่ได้และยังคงวนเวียนอยู่

ทุกครั้งหลังจากที่จัดเตรียมสิ่งของต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะทำการคำนับครู ดิฉันกับพี่ ๆ บางส่วนก็จะพากันไปกราบพระพุทธรูปในโบสถ์ ถ้าเข้าได้ ถ้าเข้าไม่ได้ก็จะยืนขออนุญาตกันอยู่ข้างนอก เสร็จแล้วก็จะไปไหว้ขออนุญาตเจ้าที่ แล้วก็ไปไหว้สัมภเวสีดวงวิญญาณที่อยู่ ณ ที่นั้นเพื่อขออนุญาต โดยจะเอากระทงของกินเล็ก ๆ ไปวางไว้ให้ แล้วโยนเงิน 4 บาทเพื่อขอซื้อที่ เงินที่โยนไปเนี่ย ส่วนใหญ่ถ้า ณ ที่ตรงนั้นมันไม่รกมาก พอโยนไปเสร็จแล้วเราก็จะเก็บกลับมาแล้วอธิษฐานให้เขาอนุโมทนาบุญ แล้วนำเงินนั้นน่ะไปหยอดตู้บริจาคให้วัด เพื่อเป็นกุศลของดวงวิญญาณที่อยู่ ณ ที่นั้น เมื่อก่อนนี้เงิน 4 บาทเนี้ย ถ้าจะเก็บไปทำบุญให้ก็จะทำหลังจากที่แสดงเสร็จเรียบรัอยแล้ว แต่หลัง ๆ มาด้วยความที่งานมันยุ่งมากก็ลืมเก็บไปทำบุญให้ เลยเปลี่ยนมาเป็นโยนเสร็จแล้ว ก็เก็บเอาไปหยอดตู้ทำบุญให้เลยจะได้ไม่ลืม

ซึ่งงานวันนั้น 2 วันแรกดิฉันเป็นคนทำเอง เพราะหน้าที่ไม่ค่อยเยอะ แต่วันที่ 3 วันนั้นมีการแสดงโขน เรื่องรามเกียรติ์ ตอนนางลอย แล้วดิฉันรับบทนางเบญกาย ซึ่งเป็นตัวเอกของตอนนี้ มันต้องแสดงทั้งเรื่อง ตั้งแต่ต้นจนจบ วันนั้นมันจึงวุ่นวายมาก ดิฉันเลยให้พี่ ๆ ไปทำการขออนุญาตแทน การแสดงวันนั้นทุกอย่างก็ราบรื่นเป็นปกติจนกระทั่งเข้าสู่กลางเรื่อง

ตอนที่ดิฉันกำลังรำเชิดฉิ่งเบญกาย เพื่อจะเหาะออกจากลงกาไปยังเขาเหมันติรัน เพื่อจะทำอุบายแปลงกายเป็นนางสีดาแล้วแกล้งทำเป็นศพตายลอยทวนน้ำไปยังพลับพลาพระราม จังหวะที่รำท่าป้องหน้าในเพลงเชิดฉิ่ง ตอนที่กำลังกล่อมหน้า หางตาดิฉันมองออกไปด้านหน้าเวทีพอดี ดิฉันก็เห็นแม่ครูมายืนดูอยู่ด้านหลังของแถวผู้ชมที่เป็นโซนยืนดู ทีแรกก็คิดว่าตาฝาด แต่พอถึงท่าที่ต้องหันมารำหน้าตรง ชัดเลยค่ะ แม่ครูมายืนดูอยู่จริง ๆ แล้วยืนดูอยู่นานมาก ท่านมาในลักษณะที่เป็นปกติทุกอย่าง

ชุดที่สวมใส่ก็เป็นเสื้อลูกไม้สีครีม ผ้าโจงสีน้ำตาลที่ท่านใส่เป็นประจำ แถมในมือยังถือก้านมะยมมาด้วย ลักษณะเหมือนตอนมีชีวิตอยู่ทุกประการ และเหมือนตอนที่สอนดิฉันเปี๊ยบเลย ทีแรกก็ตกใจ เห็นก้านมะยมแล้วเสียวน่อง แต่มานึกอีกที หรือว่าแม่ครูจะเป็นห่วงนะ เพราะตอนนั้นดิฉันอายุ 24 ปี ปีหน้าจะอายุ 25 ก็เลยคิดว่าท่าคงเป็นห่วง เลยมาปกป้องไม่ให้อะไรมาทำอันตรายมั้ง ดิฉันก็นึกขอบพระคุณในใจ แล้วก็รำต่อไปจนกระทั่งใกล้จะจบเพลงเชิดฉิ่ง ก็เห็นแม่ครูเดินอ้อมเวทีหายไป พอลงมาจากเวทีดิฉันก็พยายามมองหาเผื่อว่าท่านจะมาอยู่แถว ๆ หลังเวที แต่ก็ไม่เห็น


จนกระทั่งพวกเราแสดงจบ ลาเวทีเสร็จแล้วก็รีบช่วยกันเก็บของ เพราะเดี๋ยวเขาจะมีการแสดงดนตรีกันต่อ พอเก็บของอะไรเสร็จเหลือแต่ลาหิ้งเศียรครู ตอนที่กำลังยืนรอคุณครู ก็ลูกสาวของแม่ครูนั่นแหละ มาทำการอัญเชิญเศียรครูลงจากหิ้ง ดิฉันก็ดันหันไปเห็นแม่ครูมายืนอยู่ข้างเวที ซึ่งตรงนั้นมันอยู่ติดกับบริเวณที่เป็นโกศเก็บอัฐิเรียงรายกันเป็นแถวเลย แต่มันก็ไม่ได้น่ากลัวนะ เพราะเขาติดไฟสว่าง หลังเวทีก็กำลังวุ่นวายเลยแหละ แล้วดิฉันก็เห็นแม่ครูยกมือขึ้นไหว้ไปทางโกศอัฐิ

ซึ่งดิฉันก็ไม่รู้ว่าท่านไหว้ใคร ไหว้ทำไม เพราะเราก็ไหว้ขออนุญาตไปตั้งแต่ก่อนแสดงแล้ว แต่คิดเอาเองว่าท่านอาจจะแสดงน้ำใจไหว้ขอบคุณ เพราะท่านก็เป็นวิญญาณแล้วก็คงจะเห็นวิญญาณที่อยู่แถวนั้น แล้วก็คงจะไหว้ขอบคุณให้มั้ง ดิฉันก็เลยไหว้ขอบคุณตาม พอถอนหิ้งเสร็จเป็นจังหวะเดียวกับที่วงลูกทุ่งเขาจะขึ้นแสดง ดิฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก แค่ตรวจดูบริเวณนั้นว่ามีใครลืมอะไรเอาไว้ไหม พอเห็นว่าไม่มี ก็ทำการอัญเชิญเศียรครูออกมาเลย

ดิฉันเอาเศียรครูมาวางไว้ที่เบาะหลังของรถแฟน แล้วก็ไปยืนคุยเล่นกับพี่ ๆ เพื่อน ๆ นักแสดงบางส่วนที่เขาไปเดินซื้อของกินในงานกลับมาแล้ว คุยเล่นกันได้สักพักทุกคนก็กลับมา ดิฉันก็ถามว่า มากันครบยังจะได้กลับบ้าน มีใครลืมอะไรเอาไว้อีกไหมนึกดี ๆ นะ ก็ถามแบบนี้ปกติ แล้วไม่รู้อะไรมันดลใจให้ดิฉันพูดออกไปอีกว่า ไม่ได้หยิบอะไรของใครมาใช่ไหม ไม่มีใครพาคนอื่นกลับมาด้วยนะ ทุกคนก็เงียบไป แล้วพี่สาวนางหนึ่งก็เอ็ดดิฉันที่พูดออกไปแบบนั้น แล้วทุกคนก็พากันขึ้นรถกลับ ดิฉันก็กลับมาขึ้นรถแฟน

ตอนที่แฟนออกรถ กำลังขับออกไปจวนจะถึงประตูวัดดิฉันก็รู้สึกสังหรณ์เหมือนว่ามีใครลืมอะไรเอาไว้จริง ๆ แต่ก็ข่มใจว่าเราอาจจะวิตกกังวลไปเองก็ได้ เพราะเมื่อกี้ก่อนออกมาก็ดูแล้ว ถามแล้ว ข้าวของของเราก็อยู่บนรถหมดแล้ว ก็น่าจะกังวลไปเองนั่นแหละ

ระหว่างทางที่กำลังขับรถกลับ ตลอดทางดิฉันรู้สึกได้ว่าแฟนของดิฉันนั่งนิ่งผิดปกติ ไม่คุยหยอกล้อเหมือนทุกที ปกติเราจะแย่งกันเปิดเพลงในรถ แต่วันนี้นิ่งมาก ราวกับใช้สมาธิขับฝ่ารถติดยังไงอย่างอย่างงั้นเลย ทั้ง ๆ ที่ถนนมันโล่งมาก แถมเอาแต่มองกระจก ยิ่งช่วงที่กำลังจะพ้นจังหวัดนี้จะเข้าชานกรุงเทพ แฟนดิฉันก็มองกระจกถี่กว่าเดิม ทั้งมองกระจกมองข้าง มองกระจกมองหลัง มองแล้วก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ราวกับว่ามีคนขับรถจี้ตามหลัง หรือว่ารถมันเยอะแยะอะไรนักหนา แต่ดิฉันก็ไม่กล้าถาม เพราะว่าตลอดลองข้างทางมันเงียบและเปลี่ยวมาก ขนาดว่ารายทางบางช่วงมีบ้านคนแต่ก็เงียบสนิทเพราะมันดึกแล้ว มัน 4 ทุ่ม จวนจะ 5 ทุ่มแล้ว เข้าเขตกรุงเทพมามีบ้านเรือนอาคารตลอด 2 ฝั่งถนนก็จริงแต่มันเงียบสนิท ซึ่งมันก็เป็นปกตินั่นแหละ แต่วันนั้นมันผิดปกติตรงที่แฟนดิฉันเอาแต่มองกระจก และรายทางมันก็เงียบเชียบกว่าปกติมาก ๆ จนดิฉันรู้สึกผิดปกติ


พวกเรากลับมาถึงบ้านคุณครูที่อยู่แถวชานกรุงเทพฝั่งเหนือราว 5 ทุ่มครึ่ง ก็ช่วยกันทยอยขนของลงจากรถเอาไปเก็บไว้ตามที่ เสร็จแล้วบางส่วนก็เปลี่ยนเสื้อผ้ากลับบ้าน บางส่วนที่กลับไม่ไหวก็นอนค้างที่บ้านครู ผ่านไปจวนจะตี 1 ดิฉันอาบน้ำอาบท่าเสร็จเรียบร้อยก็มานั่งจัดเก็บเครื่องโรง อุปกรณ์การแสดงต่อ แฟนดิฉันกับพี่ ๆ บางส่วนก็นั่งก๊งกันอยู่ที่ลานบ้าน เพราะตอนนั้นมันก็ช่วงเทศกาลแล้วด้วย ดิฉันก็เลยไม่ห้ามอะไร ผ่านไปจนตี 2 กว่า ๆ ได้มั้ง ดิฉันได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ที่แฟนของดิฉันกับรุ่นพี่อีกคนขับออกไปซื้อของ

กำลังขับกลับเข้ามาในบ้าน แต่มันไม่ได้มีแค่เสียงรถมอเตอร์ไซค์อย่างเดียวนี่สิ มันมีเสียงหมาเห่าแถมโก่งคอหอนรับกันมาเป็นทอด ๆ ขอใช้คำว่าโก่งคอหอนเลยนะ เพราะมันสุดเสียงมาก แล้วก็มาหยุดอยู่แถว ๆ หน้าบ้านครูนี่แหละ ตามมาด้วยกลิ่นสาบลอยตามลมมากระทบจมูก มันเหม็นฉุนอย่างกันหนูตายผสมถังขยะเปียกตามท้องถนนยังไงอย่างงั้น ทีแรกก็เข้าใจว่ารถขยะเขาคงมาเก็บขยะมั้ง แต่แล้วมันก็มีเสียงหวีดแหลมแหบ ๆ ขาด ๆ หาย ๆ ราวกับคนเป็นหลอดลมตีบลอยตามลมมาด้วย ก็นึกว่าเป็นเสียงลมหายใจของตัวเอง ก็ลองหายใจเข้าออกดูตัวเองก็หายใจปกติหนิ แต่แล้วตอนที่นิ่งคิดเสียงหวีดนั้นมันก็ลอยลมมาอีก มันทำให้ดิฉันมั่นใจเลยว่านั่นคือเปรตแน่ ๆ

เพราะเคยเจอแถวบ้านตัวเองมาก่อน เสียงมันแบบนี้เลย ก็เลยตัดสินใจมองออกไปจากหน้าต่างบ้านเพื่อหาดูว่ามันดังมาจากไหน ดิฉันกลับไม่เห็นอะไร เห็นแต่ฝูงหมาที่อยู่ในซอยนั้นมันมารุมเห่าหอนอะไรก็ไม่รู้อยู่หน้าบ้าน สักพักคุณครูก็เดินเข้ามาในห้องเครื่องที่ดิฉันนั่งทำงานอยู่ ครูท่านบอกว่าเปรตตามมา อย่าออกไปนะ พอท่านจุดธูปไหว้พระ ไหว้ครูบาอาจารย์เสร็จ ท่านก็ถือธูปลงไปข้างล่าง ดิฉันนั่งมองจากด้านบนเห็นคุณครูกับพี่ แล้วก็แฟนของดิฉัน เดินถือจานใส่ข้าวออกไปไหว้ที่ริมรั้วหน้าบ้าน

ดิฉันนั่งมองอยุ่ครู่ใหญ่เลยล่ะค่ะ แปลกตรงที่จานข้าวนั้นวางอยู่หลายนาทีมาก แถมหมาที่มารุมกันอยู่ตรงนี้เป็นสิบกว่าตัว กลับไม่มีตัวไหนเข้ามาใกล้จานข้าวเลยแม้แต่น้อย เอาแต่เห่าหอนเป็นระยะ ๆ สักพักหนึ่งแฟนดิฉันก็เดินขึ้นมาบนห้องเครื่อง มาจุดธูปไหว้พระ อัญเชิญครูบาอาจารย์เสียงดังฟังชัดมาก แล้วเสียงหมาเห่าหมาหอนนั้นก็ค่อย ๆ หายไป แฟนหันมาเห็นดิฉันนั่งมองด้วยความงุนงง พี่เขาก็เข้ามากอดปลอบแล้วเล่าให้ฟังว่าเห็นเปรตตามออกมาตั้งแต่ที่วัดแล้ว ที่มองกระจกเพราะเห็นมันเดินตามมาไม่หยุดเลย จนเกือบจะถึงบ้านครู ตอนมาถึงหน้าวัดแถวบ้านครู ก็ที่พี่เขาเร่งเครื่องรถนั่นแหละถึงคลาดกัน แล้วตอนที่พี่เขาออกไปซื้อของแล้วกำลังกลับเข้ามา

ตอนที่กำลังจะถึงหน้าบ้านครูก็เห็นผู้ชายแก่ ๆ แต่งตัวมอมแมมยืนอยู่หน้าบ้านแต่ไกล พี่เขาคิดว่าคนเด็บของเก่าขาย แต่พอมันหันไปเห็นว่าพี่เขากำลังขับรถมาก็กลายเป็นร่างเปรตสูงใหญ่ ตอนแรกพี่เขาคิดว่าตัวเองเมาหรือตาฝาด แต่พอลงรถได้ก็หันกลับไปมองอีกทีมันเป็นเปรตจริง ๆ ก็เลยมาบอกครู แล้วครูเองก็เห็นและได้ยินเหมือนกัน แต่ ณ ตอนนั้นเปรตมันไม่อยู่แล้ว มันไปแล้ว เพราะพี่เขาเชิญบารมีครูเจ้าของบ้านมาคุ้มครอง

จนเกือบจะตี 5 ก็เกิดเรื่องอีก พี่สาวคนที่ดิฉันให้ไปทำการขออนุญาตแทนโทรเข้ามาหา พี่เขาบอกว่าพี่เขาฝันเห็นเปรตมายืนโหยหวนอยู่หร้าบ้าน พอสะดุ้งตื่นก็นึกได้ว่าลืมเอาเงินซื้อที่วางไว้ พูดขออนุญาตแล้ว แต่ยังไม่ได้โยนให้ เพราะตอนนั้นมันถึงเวลาคำนับครูก่อนแสดงพอดีเลยรีบกลับมาทีเวที แล้วก็ไม่รู้ว่าเอาเงินนั้นเก็บไว้ที่ไหน ไม่แน่ใจว่าเอาใส่กระเป๋าตัวเองหรือเปล่า ก็เลยนัดกันว่าเช้านี้ รอให้แฟนของดิฉันส่างเหล้าตื่นมาก่อนแล้วพวกเราค่อยกลับไปทำบุญให้พวกเขากัน

รอจนกระทั่งเช้าดิฉันก็ไม่กล้าหลับเลยทั้งคืน พอเช้าก็รีบทำกับข้าวใส่บาตร ช่วงสาย ๆ แฟนก็ตื่น พี่สาวดิฉันก็มา ก็พากันซื้อของใช้กลับไปทำบุญที่วัดนั้น พอไปถึงสิ่งแรกเลยพวกเราก็พากันไปไหว้พระในโบสถ์ ไปไหว้เจ้าที่ ไปไหว้โกศตรงข้าง ๆ เวที แล้วทำการโยน 4 บาทเท่าจำนวนอัฐิที่อยู่ตรงนั้นเพราะไม่รู้ว่าเปรตเมื่อคืนนั้นเป็นใคร และพวกเราต้องการชดเชยให้ ในฐานะที่ไปรบกวนบริเวณนั้น พอโยนเสร็จก็เก็บเอาเงินไปหยอดตู้บริจาคให้ แล้วก็พากันขึ้นไปถวายของให้กับพระรูปหนึ่ง

แล้วก็เล่าให้ท่านฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเราบ้าง ท่านก็เล่าให้ฟังว่า เป็นดวงวิญญาณของคนที่เคยเป็นขาใหญ่แถวนั้นนั่นแหละ ตอนมีชีวิตอยู่เข้าวัดทำบุญบ่อยนะ แต่เป็นนักเลง เมาเช้าเย็นทุกวัน เคยเปิดบ่อนในบ้าน แต่มีอยู่ช่วงนึงไม่รู้ไปทำอีท่าไหนถึงได้เปิดสำนัก ไหว้ทั้งพระ ไหว้ทั้งเทพฮินดู ท่านเองตอนเด็ก ๆ ก็เคยตามครอบครัวไปที่สำนักนี้เหมือนกัน แต่อยู่ ๆ ก็หันไปเล่นของต่ำคุณไสย์ มาตายตอนที่อายุกลางคนแล้วเพราะว่าประสบอุบัติเหตุบนท้องถนน ช่วงนั้นท่านก็เพิ่งบวชใหม่ ๆ พอดี

ณ ตอนที่เกิดเรื่องนั้นก็ผ่านมา 30 กว่าปีได้แล้ว แล้วพระท่านก็บอกว่าเพราะคงอยากได้บุญด้วย เพราะเงินซื้อที่นั่นน่ะเป็นบุญแรกที่เขาอนุโมทนาได้ เพราะมันเป็นกรรมสิทธิ์ของเขา และคงได้ยินดิฉันสวดบูชาเทพฮินดูเป็นภาษาสันสกฤตได้มั้งเลยอยากให้ช่วยขอขมากรรมให้ เพราะตอนที่หันมาเล่นของต่ำ เคยดูถูกว่าไหว้พระไหว้เจ้ามันไร้สาระ สู้เล่นของต่ำไม่ได้ ถึงขั้นเอาพระเอาเจ้าไปโยนทิ้งถังขยะ ทุ่มกระจายกลางถนนก็มี ดิฉันนี่ถึงบางอ้อเลยว่าเพราะอะไรที่ถึงตามดิฉันไป นอกจากเงินซื้อที่ ก็คงจะได้ยินตอนที่ดิฉันบูชาพระคเณศแน่นอน ต้องบอกก่อนว่า การที่ไม่ได้ถือบวชในฮินดู ไม่ได้รับคล้องสายสายยัชโญปวีตหรือธุรำ

การสวดพีชมนตราแบบผิด ๆ ไม่ตั้งใจปฏิบัติ ไม่จริงจัง แล้วแอบอ้างตนเป็นเทพเจ้าเสียเอง เป็นร่าง เป็นผู้ถูกเลือก เป็นเจ้าพิธี โดยไม่ผ่านการถือบวชปฏิบัติอะไรมาเลย หนทางข้างหน้ามันคือนรก ไม่ต่างอะไรกับจุดจบของเหล่าอสูรต่าง ๆ ในเทวะตำนานเลยสักนิด แล้วพระท่านยังบอกว่าที่ดิฉันสัมผัสเขาไม่ได้ มองไม่เห็น เป็นเพราะผลกรรมที่หนักหนามาก ที่ได้กลิ่น ได้ยินเสียงหวีดตามลมมา

มันเป็นเพราะเศษผลบุญเพียงเล็กน้อยของเขาเท่านั้น เลยสื่อไปได้แค่นั้น แล้วอีกอย่าง มีผู้หญิงสูงวัยคนนึงปกป้องดิฉันเอาไว้ เพราะจริง ๆ แล้วเปรตตัวนี้จะมาให้ดิฉันเห็นตั้งแต่หน้าเวทีแล้ว แต่เข้ามาหาไม่ได้เพราะมีบารมีครูและผู้หญิงคนนี้คุ้มครองอยู่ เพียงได้ยินดิฉันก็ไม่เสียเวลาคิดเลยว่าผู้หญิงคนที่ว่านั้นเป็นใคร แม่ครูของดิฉันอย่างแน่นอน แม้แต่ในวันที่จากไปแล้ว ท่านก็คอยดูแลพวกเราอยู่ไม่ห่าง แล้วเรื่องราวที่ดิฉันพบเจอในครั้งนั้นก็จบลงเพียงเท่านี้

สุดท้ายนี้หากผู้ใดที่ผ่านเข้ามาอ่านกระทู้นี้ ดิฉันก็อยากจะฝากเรื่องราวของเปรตตอนนี้เอาไว้เตือนใจสักนิดสักหน่อย ไม่ว่าท่านจะนับถือศาสนาใด ก็ขอให้ท่านตั้งใจปฏิบัติให้จงดี เพราะแก่นแท้ของทุกศาสนานั้นสอนให้คนเราเข้าใจในชีวิต และระวังต่อการหลงไปในทางมัวเมา หรือต่อให้ท่านไม่นับถือศาสนาใดเลย เพียงแค่ท่านเข้าใจต่อความเป็นไปของธรรมชาติ ใช้สติปัญญาพินิจพิจารณา

ความสุขที่แท้จริงของชีวิตมันก็จะบังเกิด หนทางพ้นทุกข์อาจจะมีมากกว่าคนที่นับถือศาสนาก็ได้ เพราะต่อให้ท่านนับถือเป็นร้อยศาสนา ล้านความเชื่อ แต่ถ้าท่านไม่ใช้สติปัญญาในการดำรงชีวิต มันก็ไร้ประโยชน์ แถมยังเอาศาสนามาหากิน มอมเมาผู้คนให้รุ่มหลงในอบายด้วยการอ้างคำว่า ศาสนา บาป บุญ เพื่อหาประโยชน์ให้ตัวเอง จุดจบสุดท้ายมันก็ไม่ต่างอะไรกับเปรตตนนี้

เนื้อหาโดย: minibuskhonnang
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
กัลยลิขิต's profile


โพสท์โดย: กัลยลิขิต
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
5 VOTES (5/5 จาก 1 คน)
VOTED: chubbybossmnaphat
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
"ไข่ผำ" พืชจิ๋ว ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก"กองปริศนา" ปริศนาของเวทมนตร์ที่อาจอยู่ใกล้ตัวเรากว่าที่คิด
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
"ไข่ผำ" พืชจิ๋ว ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมากคลังฟันธง! "ดิไอคอน" เข้าข่ายฉ้อโกงประชาชน ต้องครบ 3 เงื่อนไข ร่วมวง DSI สรุปสำนวนคดี"กองปริศนา" ปริศนาของเวทมนตร์ที่อาจอยู่ใกล้ตัวเรากว่าที่คิดใครบอกว่า สัตว์น้ำไม่นอน วาฬนอน พิสูจน์ว่าปลาก็นอนเหมือนเรา
กระทู้อื่นๆในบอร์ด ดูดวง เรื่องลึกลับ
ปฏิทินจีนรายวันฤกษ์ยามทำการมงคลเลือกดีหนีร้าย เดือนพฤศจิกายน 2567ดวงรายสัปดาห์ 4-10 พฤศจิกายน 2567 by อ.กัญจน์ ญาณพยากรณ์ดวงรายสัปดาห์ วันที่ 4 -10 พ.ย.2567 by อ.กิ่ง นาคารชฮีลใจ ไขรหัสรักตามเดือนเกิด3-7 พ.ย 67 by อ.โอม ศรีชัยยะ
ตั้งกระทู้ใหม่