คืนเปลี่ยนฤดู
เหมือนโชคดีและโชคร้ายโคจรมาเจอกันในเวลาเดียวกันของชีวิตวัย 24 ปีของผม ได้หยุดพักร้อนยาวแบบไม่ต้องมีกำหนดกลับไปทำงานต่อ แถมเงินก้อนโตเป็นค่าตอบแทนอีก 6 เดือนล่วงหน้า พูดง่าย ๆ ผมถูกปลดกลางอากาศ . .เอ่อ . .ไม่ค่อยจะมีเหตุมีผลสักเท่าไหร่ แต่ผมก็ก้าวออกมาจากบริษัทเฮงซวยนั้นแล้ว
ชายโสดตัวคนเดียวครอบครัวพี่น้องก็ไม่มี เพราะผมตัดสวาทขาดสัมพันธ์กับคนที่บ้านมานานแล้ว ตั้งแต่พ่อแม่ผมจากโลกนี้ไป ผมไม่ยุ่งกับครอบครัวญาติ ๆ คนไหนอีก เบื่อหน่ายระบบเครือญาติที่ไม่ต่างจากใยแมงมุม มันบางเบาแต่เหนียวหนึบ ทำให้ชีวิตขาดคำว่าอิสระและเสรีเป็นเพียงจิตนาการ
เอาเป็นว่า... ผมมาพักผ่อนโดยการเที่ยวป่าชมนกชมไม้ตามนโยบายรัฐบาลที่ให้เที่ยวเมืองไทยไปได้ทุกเดือน แต่ธรรมชาติรอบกายผมจะงดงามมากกว่านี้ . .ถ้า…
ผมรู้ว่า ตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน
ใช่!!!ผมหลงป่า หมายถึงหลงทิศทางไปไม่ถูก ไม่ใช่หลงใหลอะไรแบบนั้น สมัยเป็นลูกเสือผมเองก็ไม่ได้จดจำวิธีการแก้ไขปัญหายามหลงทาง ผมสะพายเป้เดินลุย ๆเข้ามาตามแผนที่ที่กรมป่าไม้ให้มาแต่ไม่รู้ว่าออกมานอกเส้นทางตั้งแต่เมื่อไหร่ มองไปทางไหนต้นไม้ก็คล้ายๆกันหมดเหงื่อเม็ดโป้งขึ้นท่วมใบหน้า รู้สึกอบอ้าวขึ้นอย่างประหลาด ลำคอแห้งผากราวกับมีเม็ดทรายอยู่เต็มคอ เท้าทั้งสองก้าวไปอย่างสะเปะสะปะ
ผมทรุดตัวลงนั่งหลังพิงต้นไม้ใหญ่หลับตานิ่ง ใครบางคนบอกว่าการมีสติจนสลายปัญหายุ่งยากได้ ผมเริ่มกำหนดลมหายใจให้เป็นจังหวะสม่ำเสมอ รู้สึกโล่งสบายตัวขึ้นกว่าเมื่อครู่ และเริ่มรู้สึกคล้ายครึ่งหลับครึ่งตื่น แต่มีบางเสียงที่ใสกังวานปลุกผมให้ตื่นอีกครั้ง คล้ายเสียงนกน้อยร้องเป็นเพลง เอ๊ะ . . ใช่เรอะ เสียงนกไม่ใช่แบบนี้ แต่ความรู้สึกประหลาดนี้รุกเร้าผมให้ยิ่งเร่งเท้าเข้าไปหา
ภาพตรงหน้าตรึงผมไว้นิ่งราวกับต้องมนต์สะกด เสียงเพลงกังวานสดใสดังมาจากปากได้รูปอิ่มสวย ร่างเปลือยเปล่ากำลังแหวกว่ายในสระน้ำตรงหน้า ดอกไม้ป่านานาพันธุ์เป็นที่มาของกลิ่นหอมยวนใจและแข่งกันเบ่งบานอวดสีสันสวยงามแต่ทรวดทรงของมัจฉาเริงร่าใต้ผิวน้ำ ผมยาวสลวยสีนิลสยายคลุมผิวกายคล้ายแพรไหมจนมิอาจปัดป้องสายตาซุกซนของผมมิให้จ้องมอง
งดงามราวภาพเขียน . . ลึกลับดังนางพญาไพร
เป๊าะ !!!???!!!
ทุกสรรพสิ่งเหมือนจะหยุดเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ เมื่อเท้าของผมก้าวพลาดไปเหยียบกิ่งไม้แห้งเข้าให้ส่งผลให้หญิงสาวผู้แหวกว่ายในสายน้ำทะลึ่งตัวขึ้นเหนือผิวน้ำ เพ่งสายตาสีดำสนิทมามองทางผมทันทีดวงตาคู่นั้นฉายแววตระหนกผวาถอยหนี แต่ผมก็ดันซุ่มทรามก้าวมาที่ริมตลิ่งลื่นลงไปในน้ำ ด้วยความที่ตกลงมาอย่างไม่ทันตั้งตัวจึงตกใจ มือไม้ไขว่คว้าหาที่ยึดเหนี่ยวตามสัญชาติญาณ เมื่อผมได้ที่พึ่งพิงจึงรู้ว่าสิ่งที่ผมว่าเป็นกิ่งไม้คือท่อนแขนนุ่ม ๆของหญิงสาวแปลกหน้า !!!
" ผม . . . เอ่อ . . . ผม "
ผมอึกอักเธอพยายามดันตัวเองออกห่างจากผม ซึ่งไม่รู้ทำไมผมกลับยิ่งรัดเธอไว้ในวงแขนยิ่งขึ้น
ราวกับว่า ผมกลัวว่ามันจะเป็นเพียงแค่ความฝัน หรือภาพลวงตา
"ปล่อยนะ . . . ปล่อย " เสียงเธอเบาจนแทบอยากแนบหูไปใกล้ ๆ ริมฝีปากบาง ๆนั่น
"ขอโทษครับ ขอโทษ ผมหลงทาง"
ผมสารภาพความจริงออกไปปล่อยเธอจากวงแขนอย่างเสียดาย เธอรีบขึ้นจากน้ำคว้าเสื้อผ้าหันหลังมามองผมด้วยแววตาที่ยังมีความไม่เชื่อใจฉายอยู่เต็มเปี่ยม เป็นสิ่งเดียวที่ผมเห็นก่อนสติสุดท้ายจะดับวูบลง
........................................
ผมปรือตาขึ้นเมื่อมองถูกปลุกด้วยสัมผัสอบอุ่นนุ่มที่ลูบไล้ผิวกายอย่างแผ่วเบา ผมกระพริบตาถี่ ๆ ปรับสายตาให้ชัดเจนในความมืด แม้มีเพียงเสียงเทียนวูบไหวในห้องที่ไม่รู้จักแห่งนี้แต่ใบหน้าขาวนวลและรอยยิ้มบาง ๆ กระจ่างซัดปลุกผมให้ได้สติเร็วขึ้น
"คุณ"
" อย่าเพิ่งลุกค่ะ " เสียงหวาน ๆ สั่งผมและกดไหล่ให้ผมลงนอน อาจเป็นเพราะป่วยไข้ถึงไม่มีเรี่ยวแรงจึงไม่สามารถขื่นมือน้อย ๆ ของเธอ หรือไม่ก็เพราะเตียงนุ่ม ๆ น่านอนนี่ก็ได้ที่ทำให้ผมไม่อยากลุกไปไหน
" ที่ไหนกันครับ " ผมถามหลังจากเธอประคองให้ผมดื่มน้ำรสฝาดแล้ว
" บ้านพี่ชายฉัน "
แม้เธอจะตอบห้วนๆแต่ก็น่ารัก น้ำเสียงช่างเสนาะหู เธอหมุนตัวกลับไปเตรียมอะไรบางสิ่ง ผมเลยมีโอกาสได้มองเธอเต็ม ๆ ตาอีกครั้ง คราวนี้เธอสวมเสื้อแขนยาวปลายแขนฉลุลายลูกไม้ กระโปรงยาวสีผ้าด้ายดิบผมยาวสลวยถูกถักเปียไว้หลวม ๆ
"คุณคงหิว ทานอะไรสักหน่อยซิ "
เธอยกชามข้าวต้มหอมกรุ่นมาตรงหน้า ดวงตาเธอคล้ายลังเลแต่สุดท้ายมือเล็ก ๆ ก็บรรจงจับช้อนตักข้าวต้มป้อนใส่ปากผม รสชาติแสนอร่อยอย่างที่ไม่เคยกินมาก่อน ไม่รู้ว่าเพราะความหิวที่ทรมานท้องไส้ผมหรือเพราะมาจากหญิงสาวสวยคนนี้
"แพรว "
ผมหันไปมองทางต้นเสียงประตูที่เปิดออกพร้อมกับร่างผอมสูง ใบหน้าซูบตอบและยิ่งดูโทรมลงด้วยแว่นกรอบใหญ่ที่ดำที่สวมอยู่ยิ่งทำให้หน้าตาดูแย่ลง ผมเผ้าก็ยุ่งเป็นกระเซิง เขาสวมเสื้อกราวด์สีขาวขุ่นเหมือนคุณหมอในโรงพยาบาล
"พี่ธรรม " เธอลุกขึ้นยืนท่าทางหวาดกลัวกับผู้มาเยือน
"ฟื้นแล้วเหรอครับ คุณจีระศักดิ์ "
น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยถามเหมือนไม่ต้องการคำตอบ เขาเดินลงมานั่งแทนที่หญิงสาวเอื้อมมือมาจับชีพจรผม นึกแปลกใจที่เขารู้จักชื่อผมได้ยังไงเขายกเชิงเทียนมาใกล้ ๆ จับใบหน้าผมพลิกไปมาซ้ายทีขวาที
"หน้าคุณตอนนี้ดูโทรมกว่าในบัตรประชาชรอีกนะ " เขาเอ่ยปนหัวเราะแหบๆ แล้วลุกขึ้นยืนมองหน้าหญิงสาวเหมือนสื่อสารกันทางสายตาก่อนที่จะกลับมามองผมอีกครั้ง
"พักผ่อนมาก ๆ พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน "
เขาหันกลับไปพร้อมกับดึงแขนหญิงสาวออกไปด้วย แต่ก่อนที่ร่างบางจะถูกดึงแขนให้จากไป หญิงสาวหันมาสบตาวิงวอนอาจเป็นเพราะแสงเทียงวูบไหวหรือกิ่งไม้ที่ขยับไหวนอกหน้าต่าง ผมเห็นเงาทาบลงที่พื้นเป็นลวดลายแปลกประหลาด . . . ก่อนบานประตูจะแง้มปิดลง
จะเป็นเพราะยาขม ๆ หรือเพราะมีพยาบาลชั้นหนึ่งค่อยดูแลผมอยู่ตลอดเวลาก็ไม่รู้ ทำให้อาการเหนื่อยเพลียจากไข้ป่าหายไปอย่างรวดเร็วในเวลาไม่กี่วัน มือเล็ก ๆ ที่คอยเช็ดเนื้อเช็ดตัว แขนแนบแขนคอยพยุงร่างกายผม ทั้งที่ผมตัวใหญ่กว่าเธอ แต่มันทำให้ผมสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายจากเรือนกาย จากเส้นผม ความอบอุ่นที่แผ่วเบาลมหายใจยามเธอเอื้อยเอ่ยเจรจา บริเวณบ้านที่เราพักเป็นบ้านไม้หลังเล็ก ๆ อยู่ท่ามกลางป่าเขาธรรมชาติที่งดงาม
" พี่ธรรมเป็นนักพฤกษศาสตร์ พันธุ์ไม้พวกนี้เป็นพันธุ์ไม้หายาก ใกล้สูญพันธุ์ ต้นไม้พวกนี้ คอยดูแลคนทั้งโลกได้ แต่ดูแลตัวเองไม่ได้ ไม่สามารถปกป้องตัวเองจากคนใจร้ายที่มาทำลาย พี่ธรรมเคยบอกว่าต้นไม่พวกนี้เหมือนแพรว "
เธอบอกเล่าน้ำเสียงเศร้า แม้จะยิ้มระบายเต็มใบหน้าชี้นิ้วเรียวงามให้ดูต้นไม้แปลกๆที่ผมไม่เคย รู้จัก ผมไม่เคยใส่ใจกับเรื่องพวกนี้ผมก็เหมือนคนเมืองหลวงทั่ว ๆ ไปที่รับรู้ข่าวสารว่าต้นไม้ถูกลักลอบขโมยตัดไปเยอะอากาศที่ร้อนจัดการที่พื้นที่ป่าลดลง
"แพรวไม่ค่อยแข็งแรงน่ะค่ะ เคยไปรักษาในเมือง แต่อากาศแย่มาก ถึงจะมียาดีแต่ร่างกายทนสภาพแบบนั้นไม่ไหวก็ทรุดอีก ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่แพรวดีขึ้นอย่างบอกไม่ถูก พี่ธรรมเองก็ใจดี ถึงพี่ธรรมออกจะนิสัยแปลก ๆ แต่ . . พี่ธรรมก็เป็นพี่ชายที่ดีของแพรว "
" แปลก . . แปลกยังไง "
ผมเอ๊ะใจ ชายคนนั้นนอกจากจะมีท่าทางประหลาดเก็บตัวบ่นงึมงำอะไรอยู่คนเดียวแถมชอบเดินท่อม ๆ หายไปในตอนดึก และบางวันผมเห็นเขากลับมารุ่งสาง
" เอ่อ . . เอ่อ ช่างเถอะค่ะ พี่ธรรมดูแลแพรวเป็นอย่างดี พี่ธรรมมีพระคุณกับแพรวมากทั้ง ๆ ที่เราไม่ใช่พี่น้องกันแท้ ๆ ก็จริง "
"พี่ธรรมไม่ใช่พี่แท้ ๆ แพรวหรอกเหรอครับ"
หญิงสาวมีสีหน้าอึกอักคล้ายกังวนในบางสิ่ง เธอเหมือนจะเอ่ยบางสิ่งกับผมแต่แล้วก็เงียบสีหน้าเปลี่ยนเป็นสะดุ้งตกใจเมื่อเธอมองผ่านข้ามไหล่ผมไป ผมหันกลับไปมองตามสายตาเธอ
"คุณรู้ไหม ? ดอกไม้บางชนิดใช้สีสันความสวยงามของตนเองเป็นสิ่งล่อเเมลงเข้ามากินน้ำหวาน และฝากเกสรไปผสมพันธุ์กับต้นอื่น ๆ บางชนิดไม่สวยก็ส่งกลิ่นหอมเย้ายวนมาล่อใจและบางชนิดก็ใช้ทั้งสองสิ่งนั้นเพื่อกินแมลงเล่านั้นซะเอง ...ที่สุดแล้วก็ทำเพื่อการดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์”
"ผมว่า . . คุณอยู่ที่นี่นานไปเกินไปแล้ว "
ท่าที่นิ่งสงบของชายในชุดกราวด์คุณหมอไม่อาจคาดเดาสิ่งที่เขาคิดในสมองของเขาได้ มีเพียงแววตาหลังแว่นตากรอบหนาสีดำจ้องเขม่นราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ผมอยู่ !!!
........................
เสียงทุบประตูดังขึ้นกลางดึกผมงัวเงียตื่นปรับสายตาเข้ากับความมืดตรงหน้าก่อนลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูห้องออก
ร่างเล็กผวาเข้าไปซุกอกผม ร่างกายเธอสั่นสะท้านราวลูกนกน้อย ๆ ผมตื่นเต็มตาแม้ไม่ได้ล้างหน้าก็ตาม
"เกิดอะไรขึ้นครับแพรว"
"คุณต้องไปจากที่นี่แล้วค่ะ" เธอระล่ำระลักสะอึกสะอื้นราวเด็กน้อย
"อะไรครับ . . ผมไม่เข้าใจ "
"ไม่มีเวลาอธิบายแล้ว คุณต้องไปก่อนที่พี่ธรรมจะมาที่นี่ " เธอพยายามทั้งผลักทั้งดันให้ผมไปแต่ผมกลับรวบมือเล็ก ๆรั้งร่างเธอเข้ามาในวงแขน
"อย่ามามัวแต่สงสัยอะไรอยู่เลย ไม่มีใครอยู่ที่นี่ได้นาน ฉันไม่อยากเห็นพี่ธรรมทำบาปอะไรอีกแล้ว คุณไปซะ รีบๆไปซะ " เธอยัดกุญแจรถใส่มือผม
"พี่ธรรมซ่อนรถไว้ด้านหลังบ้าน คุณกลับไปซะก่อนที่คุณจะกลายเป็นเหยื่อ "
"เหยื่อ เหยื่ออะไร!!! " ผมว่าแล้ว!!! มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลในบ้านหลังนี้
"ทุก ๆ ปี ในช่วงที่ฤดูร้อนจะลาจากเข้าสู่ฤดูฝน เป็นช่วงที่พันธุ์ไม้ต่าง ๆ ปรับเปลี่ยนตัวเองเข้าสู่การเจริญเติบโต ต้องการน้ำและอาหารมากเป็นพิเศษ . . . คุณน่าจะรู้ ว่าปุ๋ยที่ดีที่ของต้นไม้คืออะไร ? " หญิงสาวละล่ำละลักบอกทั้งน้ำตา
"คุณรีบไปเถอะ พี่ธรรมไม่ทำอะไรแพรวหรอก เค้าเลี้ยงแพรวไว้เป็นเหยื่อล่อพวกคุณเข้ามา...ที่นี่ "
"แพรวต้องไปกับผม ...ไปกับผม "
ผมกำมือเล็ก ๆ แน่น สายตาเราผสานกันนิ่งในความมืดสลัวของแสงจันทร์ที่ทอดเงาเข้ามาในห้องเล็ก ๆ หยาดน้ำใส ๆ จากดวงตาเธอสะท้อนแสงจันทร์ ผมเอื้อมมือบรรจงเช็ดคราบน้ำตาเธอเธอจับมือแนบแก้ม ผมรั้งร่างเธอกอดอย่างปกป้องรู้สึกถึงสัมผัสจากริมฝีปากเธอที่ขบแทะนิ้วมือผมเบาๆแต่รัญจวนปั่นป่วนจิตใจ เธอเงยหน้าสบตาผมอีกครั้งก่อนที่ผมจะโน้มหน้าใช้ริมฝีปากสัมผัสกับเนียนแก้มเนียนนุ่มอย่างหักห้ามใจไม่ได้ กลิ่นอายจากกายเธอปลุกทุกอณูเนื้อในร่างกาย เลือดในตัวฉีดแรงยามเมื่อมือเล็ก ๆ ค่อย ๆ เคลื่อนมาลูบไล้แผ่นอกแล้วปลดเสื้อนอกผมออก เราเคลื่อนตัวมาที่เตียงไม้ริมหน้าต่าง เมฆดำเคลื่อนคล้อยผ่านแสงจันทร์ทอแสงทาบทับร่างเปลือยเปล่าที่ครั้งหนึ่งผมเคยได้พบเห็นเมื่อครั้งแรกที่เราพบกัน แต่คราวนี้ผมได้สัมผัสจับต้องเนื้อเนียนนุ่มหญิงสาวคล้ายมวยผมออก เส้นผมดำเป็นแพรไหมคลี่คลุมไหล่เย้ายวนใจ เธอเป็นฝ่ายขึ้นนั่งนับตักผมไม่มีร่องรอยความหวาดกลัวสั่นสะท้านของเด็กน้อยเมื่อครู่ที่ผมพบยามเมื่อเปิดประตูรับเธอเข้ามา
ขณะนี้เธอกลับเป็นหญิงสาวทรงพลังขยับโยกเคลื่อนไหวบนกายผมราวกับผมเป็นม้าป่าแสนพยศให้เธอควบคุม เนื้อตัวเราเร้าร้อนอย่างที่ผมไม่เคยเป็นกับหญิงใดมาก่อน
เมฆดำเข้าเคลื่อนบดบัง พระจันทร์หายในกลีบเมฆ แต่ห้องสว่างขึ้นด้วยแสงตะเกียงพร้อมกับการเข้ามาของชายในชุดกราวด์คนนั้น
ผมรู้สึกถึงเถาวัลย์ที่เลื้อยมาจากใต้เตียงขึ้นพันขาแขนทั้งหมดและตรึงร่างผมให้นอนแผ่ราบบนเตียงที่ยังเปลือยกาย
"นี่มันอะไรกัน" ผมตะโกนลั่น ทั้ง ๆ ที่ร่างเปลือยของอีกฝ่ายเพิ่งหยุดเคลื่อนไหวในแสงเทียนวับไหวน้ำเหนียว ๆ เมือกข้น ๆ ยังเลอะเทอะ อยู่ระหว่างขาเนื้อเนียน ร่างกายเธอเหมือนเปล่งปลั่ง ขึ้นสวยขึ้นผิวที่ซีดเซียวมีน้ำมีนวลขึ้นอย่างประหลาด
"ได้น้ำเชื้อจนได้ซินะ! " ชายในชุดกราวด์มองดูเหตุการณ์ตรงหน้าราวกับเรื่องปกติ
"เรียบร้อยแล้ว "
หญิงสาวยิ้มดวงตาเป็นประกายก่อนจ้องมองมาทางผม ผมรู้สึกว่าบ้านนี้ไม่ได้มีสิ่งมีชีวิตแค่ 3 คน แต่คล้ายกับทุกสิ่งทุกอย่างมีชีวิตต้นไม้เคลื่อนไหวทั้ง ๆ ที่ไม่มีแรงลมพัด เงาไม้ที่ทอดลงมาที่พื้นห้องเป็นเงาประหลาดแต่ชัดเจนคล้ายรูปร่างของมนุษย์ กิ่งไม้นอกหน้าต่างเลื้อยเข้ามาในห้อง ดอกไม้ในแจกันเลื้อยตรงมาตัวผม หนามของมันทิ่มเนื้อหนังจนเลือดสีแดงไหลซึมออกมา
"มนุษย์เอ๋ย . . . มนุษย์ ข้าต้องการเพียงสืบเผาพันธุ์ของข้า นานนับศตวรรษที่เหล่าพืชพันธุ์อย่างข้าได้แต่เฝ้ามองพวกเจ้าทำลายล้างพวกข้า เพียงเพื่อการดำรงอยู่ของพวกเจ้า ขอเถอะนะ เวลาที่พวกข้าจะทำอะไรเพื่อการดำรงอยู่ของตัวเอง . . . "
ผมไม่เข้าใจสิ่งที่หญิงสาวเอ่ยมีเพียงสายตาของชายในชุดกราวด์ผู้สวมแว่นสายตากรอบหนาจับจ้องที่ผมอย่างสงสาร ในขณะที่รากไม้ กิ่งไม้ ที่เลื้อยเข้ามาในห้องนี้ กำลังเจาะทางเข้าไปในร่างกายผม ดูดซึมเลือดเนื้อในกายผมราวกับอาหารชั้นดี ร่างกายผมชาไร้ความรู้สึกใดๆ มีเพียงเสียงสุดท้ายจากชายคนนั้นที่ผมได้ยินก่อนสติเลือนหายไป พร้อมกับกลิ่นลมฝนโชยมาเบา ๆ
"อาหารที่ดีที่สุดของต้นไม้คือศากศพสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์นี่แหละ"
รูปจาก canva.com