นิยายจีนโบราณ
ในตาของมู่อี้เซียวทอประกายวาววับ จับจ้องของสิ่งนั้นไม่วางตา ที่แท้มันคือรูปปั้นหยกล้ำค่าที่นางเคยอยากขโมยจากพิพิธภัณฑ์ ไม่นึกว่าจะได้มาเจอที่นี่ ไวเท่าความคิดสัญชาตญาณเก่าแก่ทำให้นางเหลียวมองซ้ายขวา
ครั้นไม่เห็นมีใครแล้วจริงๆ พลันรีบก้าวด้วยฝีเท้าเบา หยิบหยกรูปมังกรใส่เข้าไปในอกเสื้อ หากแต่รูปปั้นหาใช่เล็ก มันจึงพองนูนออกมาเป็นรูปเป็นร่าง
บัดซบเอ๊ย! ไฉนในหนังเขาถึงซ่อนกันได้สนิทนักเล่า สบถในใจแล้ว อี้เซียวก็ล้วงเข้าไปหยิบรูปปั้นหยดชิ้นนั้นออกมา ขณะที่กำลังจะหาที่ซ่อนอยู่นั้น เสียงหนึ่งกลับดังขึ้น
“ผู้ใดอยู่ตรงนั้น”
ร่างบอบบางสะดุ้งโหยง จะวางของกลับคืนก็ไม่ทันเสียแล้ว อี้เซียวจึงได้แต่เอาซ่อนไว้ด้านหลัง ก่อนจะหันกลับมารับหน้าด้วยรอยยิ้มหวาน
“ท่านโหว บ่าวอี้เซียวเองเจ้าค่ะ”
หว่านชิงเฉิงหรี่ตาลง ค่อยๆ สาวเท้าเข้ามาใกล้ ดวงตาของเขาเฉียบคมออกปานนี้ ไฉนจะไม่รู้ว่าในห้องมีของสิ่งหนึ่งหายไป
“เจ้ากำลังทำสิ่งใดอยู่”
“กำลังรอท่านโหวอยู่อย่างไรเล่าเจ้าคะ” อี้เซียวโกหกโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน ทั้งยังแสร้งกระพริบตาถี่ๆ มองเขาอย่างเอียงอาย ทั้งที่ในใจกำลังก่นด่าอีกฝ่ายไม่เหลือชิ้นดี
คนอะไร จมูกไวจริง เป็นสุนัขหรือไร รอให้ข้าเก็บของก่อนก็ไม่ได้
หว่านชิงเฉิงคล้ายจะรู้ความคิดของนาง แต่เขาไม่มีเวลามาหยอกล้อด้วย “วางของกลับลงไปที่เดิมเดี๋ยวนี้!”
“ของอะไรเจ้าคะ” นางยังแสร้งปั้นหน้าซื่อตาใส
“ก็ของที่เจ้าซ่อนไว้ด้านหลังอย่างไรเล่า!”
เฮอะ ขืนข้าวางได้เสียชื่อหัวขโมยมือหนึ่งน่ะสิ เรื่องอะไรจะคืน คิดแล้ว นางก็ยัดรูปปั้นหยกไว้ในผ้าคาดเอว จากนั้น เอามือสองข้างออกมาแบให้เขาดู “บ่าวไม่ได้ซ่อนอะไรเสียหน่อยนี่เจ้าคะ”
ความหน้าหนาของนางนับเป็นความสามารถเฉพาะตัวที่หาผู้ใดเทียบยาก ยิ่งเรื่องปั้นหน้าโกหกยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ เพียงแต่มู่อี้เซียวลืมคิดไปอย่าง ว่าคนเบื้องหน้านางหาใช่ไอ้หนุ่มแว่นหน้าตี๋ในยุคสองพัน
หว่านชิงเฉิงลงมือได้เร็วยิ่ง เขาสอดแขนไปด้านหลัง หวังจะจับให้ได้คาหนังคาเขา ทว่า อี้เซียวกลับเร็วกว่า ทันทีที่วงแขนแกร่งอ้อมผ่านเอวของนางทางด้านขวา นางก็หยิบของออกมาทางด้านซ้าย ทำให้หว่านชิงเฉิงไม่เจอสิ่งที่ต้องการ ความเร็วในการเคลื่อนย้ายของของอี้เซียวไม่เป็นรองการต้มตุ๋นเลยแม้แต่น้อย
สองร่างหนึ่งใหญ่หนึ่งเล็ก หากมองผิวเผินคล้ายกำลังกอดจูบลูบคลำกัน หากแต่ความเป็นจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่
“โหวเย๋ ไฉนต้องลวนลามบ่าวด้วยเล่าเจ้าคะ ฮึก ปล่อยบ่าวไปเถิดเจ้าค่ะ!” นางไม่พูดปล่าวยังแอบฉกพู่ห้อยเอวมีราคามาจากผ้าคาดเอวของเขา
ด้วยความใกล้ชิด ทำให้กลิ่นกายของนางเข้ามาปะทะจมูกของหว่านชิงเฉิง เขาถึงกับชงักไปชั่วครู่ อี้เซียวเห็นว่าเขาหยุดแล้ว คิดจะก้าวถอยหลัง แต่ไม่นึกว่าเขากลับรวบเอวนางเข้าไปกอด
เกิดมาสองชาติพึ่งจะถูกคนลวนลาม อี้เซียวนึกโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว ดวงตากลมโตถลึงใส่เขาอย่างลืมตัว “ปล่อยนะ!”
หว่านชิงเฉิงไม่เพียงไม่ปล่อย ยังโน้มใบหน้าเข้าไปสูดดมกลิ่นหอมอ้อยอิ่งบนลำคอขาวผ่อง “ไม่มีใครบอกเจ้าหรือว่าข้าไม่ชอบให้ใครใช้ถุงหอม” ถึงวาจาของเขาจะฟังดูคล้ายกำลังตำหนิ ทว่าน้ำเสียงที่เปล่งออกมากลับแหบพร่า พาให้ใจสั่น
อี้เซียวเกือบจะเคลิ้มอยู่แล้วเชียว ถ้าไม่ถูกเขาแย่งรูปปั้นหยกไป
หว่านชิงเฉิงถอยห่างจากนางไปก้าวใหญ่ พลางหมุนรูปปั้นหยกในมือ “ที่แท้ก็คิดขโมยของ เห็นทีว่าโทษของเจ้าคงต้องเพิ่มเป็นสองเท่าแล้วกระมัง”
นั่นปะไร! ความซวยมาเยือนแล้วอี้เซียวเอ๋ย เท้าเล็กก้าวถอยห่างออกเช่นเดียวกัน มือซ้ายที่ยังกำพู่ รีบยัดเข้าไว้ที่เอวอย่างเร็ว พลันเท้าของนางก็ชนเข้ากับกองตำราที่วางอยู่บนพื้น เมื่อรู้ว่าไม่มีทางหนี ร่างเล็กทรุดตัวลงอย่างจำนน
เขาเอ่ยถามออกมาพร้อมๆ กับสาวท้าวเดินตรงเข้ามาหาต้นเหตุชนิดที่อี้เซียวไม่ทันแม้แต่จะกระพริบตา
“ข้าจะจัดการเจ้ายังไงดี หืม” ประโยคแรกยังไม่ได้รับคำตอบ คำถามที่สองก็ถูกเปล่งออกมาอีก
อี้เซียวชะงักไปจังหวะหนึ่ง แล้วแสร้งก้มหน้าลงบีบน้ำตา ก้อนเนื้อในอกก็เต้นถี่เสียจนไม่รู้จะควบคุมอย่างไร ให้กลับมาเต้นเป็นปกติได้ดั่งเดิม และยิ่งเท้าหนาเริ่มเคลื่อนเข้ามาใกล้มากเท่าไหร่ จังหวะการเต้นของหัวใจก็ยิ่งแรงมากขึ้นเท่านั้น
“เจ้าไร้ปากเช่นนั้นหรือ หรือว่าหูเจ้าไม่ได้ยินที่ข้าถาม” ประโยคคำถามดังขึ้นอีกครั้งในเวลาไม่ถึงอึดใจ