เวียดนาม1:วันแรกที่ฮานอย
ถอนหายใจเฮือกใหญ่! หลังจากรีบวิ่งข้ามถนนด้วยความระมัดระวังอย่างสุดชีวิตกลางกรุงฮานอย ประเทศเวียดนามได้สำเร็จ จริงๆแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆอย่างนี้ทุกครั้งหลังจากข้ามถนนทุกสาย เป็นข้อควรระวังที่สำคัญยิ่ง เพื่อความปลอดภัยข้อหนึ่งของที่นี่ นิสัยหันมองซ้ายขวาอยู่ครู่ใหญ่ก่อนก้าวขาข้ามถนน จึงถูกฝังลึกตลอดการเดินทางไปเยือนกรุงฮานอย เมืองเว้ เมืองดานัง และเมืองฮอยอัน... เป็นอันบรรลุความฝันในการเดินทางไปเยี่ยมชมประเทศเวียดนามที่ฝันมานานคืนแล้วคืนเล่า ด้วยเสน่ห์ของการเป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์สำคัญหน้าหนึ่งของโลก บุคคลสำคัญนาม “โฮจิมินห์” ความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติที่อ่าวฮาลอง ทิวทัศน์แม่น้ำหอมที่เมืองมรดกโลกเมืองเว้ เวียดนามวันวานที่เมืองมรดกโลกฮอยอัน วีถีชีวิตผู้คน วัฒนธรรม และภาพสาวเวียดนามในชุดประจำชาติอ่าวหย่ายสีสด... นึกย้อยเวลากลับไปถึงการเดินทางทริปนี้ทีไร ภาพความประทับใจหลายภาพ ความรู้สึกทั้งตื่นเต้นและอิ่มเอมหลากอารมณ์ พลันกลับมาแจ่มชัดในความทรงจำทุกครา... ตั้งแต่ลาจากประเทศเวียดนามมานี่ ภาพและความรู้สึกเหล่านั้นวนเวียนอยู่ในใจลึกๆแทบทุกวัน... รู้สึกตัวอีกที เอ..นี่ฉันแอบคิดถึงเวียดนามทุกวันเลยนี่นา
เตรียมการและหาแนวร่วมอยู่พักใหญ่ ท้ายสุด ก็เป็นการเดินทางเพียงลำพังในแผ่นดินเวียดนามเป็นเวลาสองอาทิตย์ด้วยงบประมาณหนึ่งหมื่นห้าพันบาท นี่คือโจทย์ในการเดินทางครั้งนี้ และยังเป็นเหตุจูงใจให้เข้าไปตื้อถามเจ้าหน้าที่ที่ สนามบินนอยไบ (Noi Bai Airport) ประจำกรุงฮานอย ถึงรถโดยสารประจำทางเข้าเมือง ไม่มีทาง! ที่จะยอมจ่ายค่าแท็กซี่เข้าเมือง ด้วยระยะทางประมาณ 45 กิโลเมตร กว่าจะถึง Old Quarter ย่านที่พักนักท่องเที่ยว แล้วก็ได้ใช้บริการรถเมล์เข้าเมืองด้วยค่ารถแสนถูกสมใจ เริ่มต้นกับโจทย์แรกในเวียดนามได้อย่างไม่เลว
เปิดฉากทำความรู้จักแรกกับประเทศเวียดนามด้วยภาพสองข้างทางจากสนามบินนอยไบเข้าสู่ใจกลางกรุงฮานอย สภาพภูมิประเทศย่านชานเมืองไม่ต่างจากบ้านเรามากนักแต่ดูจะมีความสมบูรณ์มากกว่า ด้วยความเขียวของต้นข้าวในทุ่งนาผืนใหญ่และพื้นที่เกษตรกรรมสลับกับชุมชน อากาศดีกว่ากรุงเทพฯเยอะ... จากนั้นภาพสองข้างทางจึงค่อยๆเปลี่ยนเป็นตึกรามบ้านช่องแออัดและความคับคั่งบนท้องถนนที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นลักษณะพื้นฐานของเมืองหลวงแทบทุกเมือง
ใช้เวลาทั้งสิ้นประมาณหนึ่งชั่วโมง กว่ารถเมล์จะจอดให้ลงริมถนนที่เต็มไปด้วยยานพาหนะทุกประเภทละลานตากลางเมือง... ที่นี่มันส่วนไหนของฮานอยเนี่ย? พลิกแผนที่ในมือไปมาอยู่หลายรอบ ยังไม่ทันจะกำหนดตำแหน่งของตัวเองในแผนที่ได้ ก็โดนกลืนหายไปกับเหล่าพี่ๆมอเตอร์ไบค์ (จักรยานยนต์รับจ้าง) เสียแล้ว ด้วยลักษณะการแต่งตัว สัมภาระ และแผนที่ยับๆกำแน่นในมือ ทำให้พี่ๆเค้าเดาได้ไม่ยากเลยว่าเป็นนักท่องเที่ยวที่ต้องการไปย่าน Old Quarter การเจรจาต่อรองราคาจึงเริ่มขึ้น...โชคดีมีสาวฝรั่งคนหนึ่งต้องการแชร์ค่าจักรยานยนต์ซ้อนสามร่วมไปย่านนี้ด้วย ระหว่างทาง นึกตำหนิตัวเองขึ้นมาว่า ลำพังแค่ซ้อนจักรยานยนต์บนถนนที่คับคั่งต่างเมืองก็ถือว่าอันตรายมากอยู่แล้ว นี่ยังซ้อนสามอีก หากโชคร้ายเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจริงๆ ไม่รู้ว่าจะคุ้มกับเงินที่ได้ประหยัดไปจากการแชร์ค่ามอเตอร์ไบค์หรือเปล่า!?
คริสตี้ เล่าว่า ได้จองที่พักทางอินเตอร์เน็ตในย่านนี้ที่ถนน P Hang Gai เอาไว้แล้ว เลยได้ทีขอไปลงจุดหมายเดียวกับเธอเพราะยังไม่มีที่พัก ถึงปากซอยทางเข้าโรงแรม เราต้องเดินเข้าซอยเล็กๆนี้ไปอีกเกือบ 100 เมตร สองข้างทางเป็นร้านขายอาหารแบบนั่งกินบนเก้าอี้ตัวเล็กง่ายๆ ซึ่งสามารถพบเห็นได้ทั่วไปในเวียดนาม สักพักจึงค่อยเปลี่ยนเป็นโรงแรมและเกสเฮ้าส์ใหญ่เล็กตกแต่งหลากสไตล์ ถึงโรงแรมของคริสตี้ แอบเห็นเธอหงุดหงิดเล็กน้อย ทันทีที่รู้ว่าราคาห้องพักที่จองไว้เพิ่มขึ้น ซึ่งไม่ใช่ราคาที่ฉันยินดีจะจ่าย
เรื่องราวราคาที่เพิ่มขึ้นจากที่ประกาศไว้ในเว็บไซด์นี่ ฉันได้ยินมาไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่องแล้ว น่าคิดเหมือนกัน ว่าตกลงแล้ว การจองสินค้าต่างๆทางอินเตอร์เน็ตได้อำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าจริงๆหรือเปล่า?
เจ้าของโรงแรมจึงพาฉันไปส่งที่อีกโรงแรมหนึ่งใกล้ๆกันชื่อ North Hotel No.2 เข้าใจว่า น่าจะเป็นโรงแรมของญาติๆกัน ที่นี่มีราคาห้องพักถูกกว่า สิ้นสุดการเจรจากับเจ้าของโรงแรมด้วยราคาที่น่าพอใจ ไม่ว่าจะต่อรองจนถึงอ้อนวอนอย่างไร ก็ไม่ได้ราคาต่ำกว่านี้ แต่ก็นับว่าไม่แพงจนเกินไป สำหรับคืนแรกและสำหรับวันแรกที่ยังไม่ได้ทำความรู้จักกับเมืองฮานอยเลย
สภาพห้องพักถือว่าใช้ได้ สะอาด มียูบีซีให้ดูด้วยซับไทเทิลภาษาไทย พักผ่อนได้สักพัก จึงออกไปเดินเล่นหาของกินใส่ท้องพร้อมๆกับเริ่มทำความรู้จักเมือง จะด้วยคุณภาพของแผนที่ใน Lonely Planet หรือความชัดเจนของป้ายบอกชื่อถนนในเมืองฮานอยก็ตาม ทำให้สามารถเดินตามแผนที่ เข้าออกซอกซอย พร้อมจับทิศทางของเมืองได้อย่างรวดเร็ว แต่ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูงสุดในการเดินข้ามถนนทุกครั้ง ถึงแม้จะได้รับคำแนะนำจากหลายท่านที่เคยมาเวียดนามมาก่อนแล้วว่า “เดินข้ามไปเถอะ แล้วรถเค้าจะหยุดให้เราเอง” ลองมาเห็นปริมาณและลีลารถของที่นี่ก่อน แล้วจะเห็นด้วยกับฉันว่า แค่ก้าวขาลงไปแตะกับพื้นถนน ยังคิดแล้วคิดอีกอยู่หลายนาทีเลย นอกจากรถจะเยอะมากแล้ว ยังไม่มีท่าทีจะจอดให้ข้ามได้ง่ายๆด้วย ต้องอาศัยรอให้มีคนอื่นมาข้าม จึงค่อยได้ทัพหนุนร่วมกึ่งเดินกึ่งวิ่งข้ามไปด้วยกัน
ท่ามกลางฝูงรถที่ประกอบไปด้วยพาหนะประเภทต่างๆเป็นสมาชิก ภาพรถสามล้อเวียดนามซีโคล่ (Cyclo) โดดเด่นด้วยเอกลักษณ์ของที่นั่งผู้โดยสารอยู่ทางด้านหน้า ส่วนคนขี่อยู่ทางด้านหลัง รถสามล้อซีโคล่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 19 ประยุกต์และดัดแปลงมาจากรถจักรยานธรรมดา ขบวนรถสามล้อซีโคล่ที่มีนักท่องเที่ยวสีหน้าตื่นเต้นนั่งทางด้านหน้า เป็นภาพเจนตาพบเห็นได้ทั่วไปในย่านนักท่องเที่ยว คันหลังสุดของขบวนที่ฉันกำลังรอให้ผ่านหน้าไปก่อนข้ามถนน เรียกเสียงหัวเราะจากผู้พบเห็นได้ไม่น้อย ด้วยการเปลี่ยนหน้าที่และตำแหน่งกันระหว่างคนขี่และนักท่องเที่ยวผู้โดยสาร สันนิษฐานเอาเองว่าคุณลุงฝรั่งพุงพุ้ยคงต้องการลิ้มลองรสชาติการขี่และการบังคับในตำแหน่งที่ปลอกภัยกว่าผู้โดยสาร เห็นแกพยายามขยับเท้าส่งแรงถีบเต็มที่จนหน้าแดงก่ำ รถซีโคล่ก็ขยับไปเพียงไม่กี่คืบ ท่ามกลางสายตาเอาใจช่วยหลายสิบคู่ ส่วนเจ้าของตำแหน่งตัวจริงนั่งยิ้มแก้มปริในที่นั่งผู้โดยสาร ไม่นาน ทั้งคู่ก็กลับเข้าประจำในตำแหน่งของตนอีกครั้ง ก่อนที่จะตามคันอื่นในกลุ่มเดียวกันไม่ทัน