การทดลองสุดวิปริต"Unit 731" แห่งแดนอาทิตย์อุทัย
ผมเคยได้ยินคนพูดมาว่า มีหน่วยปฏิบัติการหน่วยหนึ่งที่เอาคนมา ทดลองโดยที่คนคนนั้นยังไม่ตาย เลยไปหาอ่าน ผมจึงรวบรวมข้อมูลที่จะนำมาเสนอให้คุณได้อ่านกัน
คำเตือน!!! เนื้อหานี้มีความรุนแรงโหดร้ายทารุณ การทดลองต่อมนุษย์ด้วยกันเอง มีภาพเเละเนื้อหาที่มีความรุนแรงที่ส่งผลต่อจิตใจ
สนธิสัญญาเจนีวาเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศที่มีเจตนารมณ์ในการสร้างสันติภาพและป้องกันสงคราม หนึ่งในข้อกำหนดสำคัญในสนธิสัญญาเจนีวาคือห้ามใช้อาวุธชีวภาพในการทำสงคราม โดยไม่ว่าประเทศใดก็ตามทั่วโลกจะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดนี้ อาวุธชีวภาพเป็นอาวุธที่มีความเสี่ยงสูงและอาจก่อให้เกิดความสูญเสียที่มหาศาล ดังนั้นการห้ามใช้อาวุธชีวภาพเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อความปลอดภัยของมนุษย์ทั่วโลก อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่ากองทัพญี่ปุ่นละเมิดข้อตกลงในสนธิสัญญาเจนีวา โดยการก่อสร้างห้องทดลองลับที่มีขนาดใหญ่มากถึง 6 ตารางกิโลเมตร เพื่อทดลองและวิจัยอาวุธชีวภาพที่มีความอันตรายสูงกว่าระเบิดนิวเคลียร์หลายเท่า การกระทำนี้ไม่เพียงแต่ละเมิดสนธิสัญญาเจนีวาเท่านั้น แต่ยังเสี่ยงก่อให้เกิดความเสียหายและสันติภาพโลก
เริ่มโดยญี่ปุ่นบุกเข้ายึดดินแดนแมนจูเรียในปี 1932 กองทัพญี่ปุ่นได้สร้างค่ายกักกันเชลยซึ่งรู้จักกันในชื่อ “ป้อมซงหม่า” เชลยในค่ายกักกันได้รับการดูแลอย่างอิ่มหมีพีมัน ผิดกับเชลยในค่ายกักกันแห่งอื่น เนื่องจากพวกเขาจะถูกนำตัวไปเป็นหนูทดลองทางการแพทย์จึงจำเป็นต้องดูแลนักโทษให้มีสุขภาพสมบูรณ์ที่สุดจึงจะสามารถวินิจฉัยสาเหตุการติดเชื้อและการเจ็บป่วยได้อย่างถูกต้องมากที่สุด
พล.ท.ชิโร อิชิอิ ผู้บัญชาการกรมแพทย์ทหาร ได้รับมอบหมายให้เข้ามาดูแลเรื่องนี้โดยตรง แต่ในเดือนสิงหาคม 1934 บรรดานักโทษได้รวมตัวกันแย่งอาวุธและกุญแจจากผู้คุม สามารถแหกค่ายกักกันออกมาได้หลายสิบคน คนที่หนีรอดออกมาได้ป่าวประกาศให้ประชาชนได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเชลย ทำให้ญี่ปุ่นตัดสินใจปิดป้อมซงหม่าลงในเวลาต่อมา แต่นั่นมันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของฝันร้ายสำหรับชาวแมนจูเรีย
อิชิอิได้รับอนุมัติเงินงบประมาณก้อนโตสำหรับการสร้างนิคมลับแห่งใหม่ ที่ห่างจากชุมชนในหมู่บ้านปิงฟาง ใกล้กับเมืองฮาร์บิน เพื่อปกปิดปฏิบัติการลับสุดยอด นั้นจึงถูกสร้างเป็นสถานีศูนย์วิจัยโรคระบาดและผลิตน้ำสะอาด
อิชิอิได้คิดค้นเครื่องผลิตน้ำสะอาดเคลื่อนที่ ซึ่งสามารถพกพาติดตัวไปตามสถานที่ต่างๆได้ มันมีประสิทธิภาพถึงขนาดสามารถกรองปัสสาวะให้กลายเป็นน้ำดื่มได้ ภายในศูนย์วิจัยโรคระบาดและผลิตน้ำสะอาดถูกแบ่งออกเป็นหน่วยงานย่อยหลาย ๆ แห่ง และหนึ่งในนั้นคือหน่วย 731 ที่มีแต่เพียงเจ้าหน้าที่ระดับสูงเท่านั้นที่สามารถผ่านเข้าออกหน่วยงานนี้ได้ แม้แต่ทหารญี่ปุ่นเองหากไม่มีส่วนเกี่ยวข้องก็ไม่รู้ว่าหน่วยงานนี้รับผิดชอบเรื่องอะไร ดังนั้น หน่วย 731 จึงเป็นหน่วยงานลับที่ซ่อนตัวอยู่ในนิคมลับ
หน่วย 731 เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความลับและความน่าสยดสยอง สิ่งที่ทำให้มันเป็นกระแสพูดถึงในสมัยนี้คือภาพลักษณ์ของการทดลองบนมนุษย์ที่ที่นี่จัดทำขึ้น เชลยที่ถูกกวาดต้อนมาเป็นผู้ถูกทดลองที่เคยถูกนำมาใช้ในการศึกษาการระบาดของโรคติดต่อร้ายแรง รวมถึงการศึกษาระบบการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ทั้งในร่างกายและนอกร่างกาย ทั้งนี้ผู้ถูกทดลองยังคงมีความตื่นตัวและสามารถหายใจได้ โดยไม่มีการให้ยาสลบใด ๆ เมื่ออิชิอิต้องการศึกษาการทำงานของหัวใจ เขาก็จะใช้มีดกรีดลงบนหน้าอกเชลยและ ข้อสำคัญคือผู้ถูกทดลองยังคงเป็นมนุษย์ที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ทุกประการ
อกิร่า มากิโนะ หนึ่งในผู้ช่วยแพทย์เล่าถึงเหตุการณ์ในวันแรกที่เขาถูกส่งตัวไปทำงานในหน่วย 731 ว่า เชลยถูกนำตัวมามัดติดบนเตียงผ่าตัด พวกเขารู้ตัวว่าวาระสุดท้ายได้มาถึงแล้ว หากแต่สิ่งที่เชลยยังไม่รู้คือพวกเขาจะถูกผ่าแยกร่างทั้งเป็นโดยไม่มีการใช้ยาสลบ
ทันทีที่แพทย์หยิบมีด เชลยได้ส่งเสียงร้องตกใจ แพทย์กรีดมีดจากหน้าอกยาวลงไปถึงหน้าท้อง ผู้เคราะห์ร้ายดิ้นทุรนทุราย ใบหน้าบิดเบี้ยวทุกข์ทรมานและกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด สาเหตุที่ไม่มีการใช้ยาสลบก็เนื่องจากอิชิอิเกรงว่าฤทธิ์ยาสลบอาจมีผลต่อการ ทำงานของอวัยวะ ทำให้ไม่สามารถเรียนรู้การทำงานของอวัยวะได้อย่างถูกต้องแม่นยำ
อิชิอิได้ทำการทดลองสุดวิปริตอีกมากมายหลายอย่าง เช่น การตัดอวัยวะออกจากร่างแล้วต่อกลับเข้าไปใหม่แต่สลับข้าง การเปลี่ยนถ่ายอวัยวะจากคนหนึ่งไปให้อีกคนหนึ่ง การสอดท่อเข้าทวารหนักแล้วอัดอากาศเข้าไปจนอวัยวะภายในระเบิด การทดสอบอานุภาพของระเบิดมือโดยใช้คนเป็นเป้า และการทดลองอื่นๆอีกมากมายที่เกินความคาดคิดของมนุษย์
หน่วย 731 เป็นเพียงส่วนหนึ่งของโครงการลับที่ใช้ชื่อบังหน้าว่าศูนย์วิจัยโรคระบาดและ ผลิตน้ำสะอาด ยังมีหน่วยอื่น ๆ เช่นหน่วยศึกษาและวิจัยการเพาะเชื้อโรค นักโทษหญิงถูกฉีดเชื้อซิฟิลิสเข้าร่างกายแล้วบังคับให้หลับนอนกับนักโทษชาย หากนักโทษคนใดขัดขืนคำสั่งจะถูกยิง อิชิอิเฝ้าดูอาการของผู้ได้รับเชื้อโรค ทำการจดบันทึกการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายในระยะต่างๆจนกระทั่งพวกเขาเสียชีวิต
นักโทษบางคนถูกจับให้ยืนแหงนหน้าอ้าปากในที่โล่งแจ้งโดยไม่รู้ตัวว่าอิชิอิได้โปรยเชื้อโรคเข้าใส่เพื่อทำการทดลองว่าเชื้อโรคชนิดนั้นสามารถแพร่ กระจายโดยทางอากาศได้หรือไม่ เมื่อผลการทดลองเป็นบวก อิชิอิได้ทำการทดลองขั้นต่อไปโดยการสร้างระเบิดชีวภาพ เขาปล่อยเชื้อโรคลงในแหล่งน้ำของหมู่บ้านหลายแห่ง ส่งผลให้เกิดโรคระบาดมีผู้คนเสียชีวิตราว 400,000 คน การทดลองระเบิดชีวภาพได้ถูกระงับชั่วคราวหลังจากที่ประสบความล้มเหลวใน การทดลองครั้งที่ 5 เมื่ออิชิอิยิงระเบิดชีวภาพเข้าใส่หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง กระแสลมได้เปลี่ยนทิศกะทันหันโดยไม่ทันตั้งตัว ลมหอบเอาเชื้อโรคโหมเข้าใส่กองทหารญี่ปุ่นทำให้ทหาร 1,700 นายเสียชีวิต
ผลการทดลองพิสูจน์แล้วว่าระเบิดชีวภาพมีประสิทธิภาพในการทำลายล้างสูงอย่างน่าเหลือเชื่อ กองทัพญี่ปุ่นวางแผนที่จะใช้อาวุธชีวภาพบรรจุใส่บอลลูน 200 ลูก ปล่อยมันขึ้นจากเรือดำน้ำใกล้กับชายฝั่งด้านตะวันตกของสหรัฐ กระแสลมจะทำหน้าที่พัดบอลลูนเข้าสู่แผ่นดิน หากแผนการนี้สำเร็จจะมีคนเสียชีวิตเพราะโรคระบาดจำนวนหลายล้านคน
ญี่ปุ่นยอมแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนที่จะมีการนำอาวุธชีวภาพมาใช้ อิชิอิสั่งให้สังหารเชลย 150 คนที่เหลืออยู่ในหน่วย 731 เพื่อปิดปากไม่ให้มีพยานและสั่งเจ้าหน้าที่ทุกคนห้ามเอ่ยถึงเรื่องราวที่ เกิดขึ้นในหน่วย หาไม่เช่นนั้นแล้วเขาจะส่งคนไปตามล่าสังหารผู้ที่ปากโป้ง เขาไม่ลืมที่จะสั่งให้ทหารทำลายหลักฐานและอาคารสำคัญๆทิ้ง จากนั้นอิชิอิก็เดินทางกลับไปซ่อนตัวในประเทศญี่ปุ่น
ด้วยเหตุนี้เองพลเอกดักลาส แมคอาร์เธอร์ จึงได้มอบหมายให้พลโทเมอร์เรย์ แซนเดอร์ ไปทำการเจรจากับอิชิอิ ยื่นข้อเสนอให้ส่งมอบข้อมูลงานวิจัยทั้งหมดเพื่อแลกเปลี่ยนกับการไม่ดำเนิน คดีในข้อหาอาชญากรสงคราม ซึ่งแน่นอนว่าอิชิอิยอมรับข้อเสนอแต่โดยดีและเชื่อกันว่าอิชิอิยังได้ทำงานวิจัยด้านอาวุธชีวภาพร่วมกับสหรัฐในรัฐแมริแลนด์และนำอาวุธชีวภาพนี้ไปใช้ใน สงครามเกาหลีหากแต่บุตรสาวของอิชิอิปฏิเสธข้อ้างดังกล่าว โดยระบุว่าบิดาของเธอใช้ชีวิตอยู่ในประเทศญี่ปุ่นตลอดเวลา
ตลอดระยะเวลา 60 ปี สหรัฐให้ความร่วมมือปกปิดการมีตัวตนของหน่วย 731 ไม่มีเจ้าหน้าที่แม้แต่คนเดียวถูกดำเนินคดีแม้จะมีเชลยอย่างน้อย 12,000 คนเสียชีวิตในที่แห่งนี้ เพราะพวกเขายอมทำทุกอย่างเพื่อให้ชนะสงคราม ปัจจุบันหน่วย 731 ถูกขนานนามว่าเป็น “โรงงานแห่งความตาย”