ENIAC คอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลก
คอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลกมีชื่อว่า ENIAC (Electronic Numerical Integrator and Computer) สร้างขึ้นโดย John Mauchly และ J. Presper Eckert ที่มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ. 1946 ENIAC เป็นคอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกที่ใช้หลอดสุญญากาศในการทำงาน มีขนาดเท่ากับห้องขนาดใหญ่ ประกอบด้วยหลอดสุญญากาศ 17,468 หลอด ไดโอดคริสตัล 7,200 ตัว รีเลย์ 1,500 ตัว ตัวต้านทาน 70,000 ตัว ตัวเก็บประจุ 10,000 ตัว มีน้ำหนักทั้งสิ้นอยู่ที่ 27 ตัน และใช้ไฟฟ้า 140 กิโลวัตต์ ENIAC ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ในทางทหาร โดยใช้ในการคำนวณวิถีการยิงและวิถีกระสุนปืนใหญ่ ENIAC ประสบความสำเร็จอย่างมากในการช่วยกองทัพสหรัฐอเมริกาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยสามารถคำนวณตารางการยิงและวิถีกระสุนปืนใหญ่ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ซึ่งช่วยให้กองทัพสหรัฐอเมริกาสามารถยิงกระสุนปืนใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ENIAC ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาคอมพิวเตอร์มาจนถึงปัจจุบัน คอมพิวเตอร์รุ่นต่อ ๆ มาได้พัฒนาขนาดให้เล็กลง ใช้พลังงานน้อยลง และมีประสิทธิภาพในการทำงานสูงขึ้น ในปัจจุบันคอมพิวเตอร์ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของเราเป็นอย่างมาก นอกจาก ENIAC แล้ว ยังมีคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ที่สร้างขึ้นในช่วงเดียวกัน เช่น ABC (Atanasoff-Berry Computer) ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดย John Vincent Atanasoff และ Clifford Berry ในช่วงปี ค.ศ. 1937-1942 แต่ ABC ไม่สามารถโปรแกรมได้ จึงไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลกได้
สำหรับคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่นำเข้ามาใช้ในประเทศไทยคือ IBM 1620 ซึ่งนำเข้ามาใช้ในปี ค.ศ. 1962 โดยศาสตราจารย์บัณฑิต กันตะบุตร หัวหน้าภาควิชาสถิติและเลขาธิการสถิติแห่งชาติ
วิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งออกเป็น 5 ยุค ดังนี้
- ยุคที่ 1 (ค.ศ. 1940-1953) คอมพิวเตอร์ยุคนี้ใช้หลอดสุญญากาศในการทำงาน มีขนาดและน้ำหนักมาก กินไฟมาก และทำงานช้า คอมพิวเตอร์ยุคนี้ใช้สำหรับงานทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม เช่น การคำนวณตารางการยิงและวิถีกระสุนปืนใหญ่
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 1
- ยุคที่ 2 (ค.ศ. 1953-1963) คอมพิวเตอร์ยุคนี้ใช้ทรานซิสเตอร์แทนหลอดสุญญากาศ ทำให้ขนาดและน้ำหนักของคอมพิวเตอร์เล็กลง กินไฟน้อยลง และทำงานเร็วขึ้น คอมพิวเตอร์ยุคนี้ใช้สำหรับงานทางธุรกิจและอุตสาหกรรม เช่น การประมวลผลข้อมูล การจัดเก็บข้อมูล และการทำบัญชี
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 2
- ยุคที่ 3 (ค.ศ. 1963-1972) คอมพิวเตอร์ยุคนี้ใช้วงจรรวม (Integrated Circuits) ทำให้ขนาดและน้ำหนักของคอมพิวเตอร์เล็กลงอีก กินไฟน้อยลง และทำงานเร็วขึ้น คอมพิวเตอร์ยุคนี้ใช้สำหรับงานทั่วไป เช่น การพิมพ์เอกสาร การสร้างกราฟ และการคำนวณ
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 3
- ยุคที่ 4 (ค.ศ. 1972-1984) คอมพิวเตอร์ยุคนี้ใช้ไมโครโพรเซสเซอร์ (Microprocessor) ทำให้คอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลง พกพาสะดวกขึ้น และทำงานเร็วขึ้น คอมพิวเตอร์ยุคนี้ใช้สำหรับงานส่วนบุคคล เช่น การเล่นเกม การทำงานเอกสาร และการใช้อินเทอร์เน็ต
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 4
- ยุคที่ 5 (ค.ศ. 1984-ปัจจุบัน) คอมพิวเตอร์ยุคนี้ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) และการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถทำงานที่ซับซ้อนได้ เช่น การแปลภาษา การจดจำภาพ และการวินิจฉัยโรค
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 5
คอมพิวเตอร์ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของเราเป็นอย่างมาก คอมพิวเตอร์ถูกใช้ในงานต่าง ๆ มากมาย เช่น งานด้านการศึกษา งานด้านธุรกิจ งานด้านอุตสาหกรรม และงานด้านบันเทิง คอมพิวเตอร์ได้ช่วยให้การทำงานและการดำเนินชีวิตของเราง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น