หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

ใจไม่ใช่สมอง!และไม่ได้อยู่ข้างซ้าย!ความจริงของที่วิทยาศาสตร์ไปไม่ถึง

โพสท์โดย deeda2456

วิทยาศาสตร์จิตวิทยา ... มักอธิบายอาการ อารมณ์ ความรู้สึก นึกคิด ต่างๆ ของมนุษย์ ด้วยสภาวะของ สมอง ... และถึงกับสรุปกันว่า ... สมองก็คือใจ ใจก็คือสมอง! จริงหรือ ?

ที่วิทยาศาสตร์สรุปอย่างนั้น เพราะ วิทยาศาสตร์ เชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ด้วยการสามารถรับรู้ได้ด้วย ตา หู จมูก กาย ... เท่านั้น ใช่ไหม?  สิ่งที่เกินกว่า การมองเห็น แตะต้อง สัมผัสได้ ... สภาพที่ละเอียดในระดับที่วิทยาศาสตร์มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ ไปไม่ถึง! จึงบอกว่า... มันไม่มีอยู่ ?! อย่างนั้นหรือ?! … ก็น่าคิด ?!

มีคำอธิบายเปรียบเทียบให้เห็นภาพง่ายๆ ว่า  สมอง คือ Hard ware     ใจ คือ Soft ware

โดย “ใจ” มีอำนาจรู้ได้ ทำหน้าที่บังคับใช้และประสานงานกับประสาททั้ง 5 คือ

1) บังคับใช้ประสาททั้ง 5 (ประสาทตา หู จมูก ลิ้น กาย)

2) รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับประสาททั้ง 5 ด้วยอาการ 4 อย่าง  คือ

-  เห็น ได้แก่ รับภาพ รับเสียง รับกลิ่น รับรส รับการสัมผัส รับอารมณ์ที่กระทบ ผ่านมาทางประสาททั้ง 5 แล้วเปลี่ยนสิ่งที่มากระทบเหล่านั้นทั้งหมดให้เป็นภาพ

- จำ ได้แก่ การบันทึกภาพต่างๆ ที่ผ่านมาแล้วนั้นไว้อย่างรวดเร็ว เหมือนภาพที่ถูกบันทึกไว้ในฟิล์มภาพยนตร์เพื่อเก็บไว้เป็นข้อมูล

- คิด คือ การใคร่ครวญพิจารณา ที่จำได้แล้วนั้น ไปใน 3 ทางว่า... ดี  ชั่ว หรือเฉยๆ

- รู้ ได้แก่ ตัดสินใจเชื่อหรือรับทราบสภาพสิ่งต่างๆ (ที่มากระทบกับประสาททั้ง 5 ก่อนที่จะรับ และจำได้ ) ว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้

เพื่อให้เข้าใจการเชื่อมต่อระหว่าง Hare ware กับ Soft ware  ลองพิจารณาเหตุการณ์นี้ ซึ่งแน่นอน เคยเกิดขึ้นกับทุกคน ... ที่บางครั้ง  ขณะกำลังสนทนา พูดคุยกัน ...แล้วก็เกิดอาการฟังไม่รู้เรื่อง จับเนื้อหาสาระไม่ได้? ทั้งๆ ที่ เสียงของคนพูด ก็กระทบเข้าหูคนฟัง  แต่เพราะกระบวนการรับรู้ไม่สมบูรณ์ คือ ... เสียงของคนพูดผ่านหู แต่ไปไม่ถึง “ใจ” ของคนฟัง เพราะคนฟังอาจกำลังรับรู้เรื่องอื่น สนใจเรื่องอื่น หรือ คิดเรื่องอื่น ที่เราคุ้นกันดีกับคำว่า “ใจลอย” ... คือ ใจไม่อยู่กับปัจจุบันขณะนั้น ลอยไปไหนไม่รู้  ... หรืออาการที่เรียกว่า “ไม่มีสมาธิ” คือ ใจไม่จดจ่ออยู่กับสิ่งนั้นๆ

ฉะนั้น  แม้จะได้ยินเสียงคนกำลังพูดตรงหน้า แต่ประสิทธิภาพของการรับรู้เข้าใจเรื่องราวจะไม่สมบูรณ์ ระบบประสาทอย่างอื่นก็ทำนองเดียวกัน ...  ถ้ากระบวนการประสานงานไม่ไปถึงใจ ... การรับรู้ อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด ต่างๆ ก็จะไม่สมบูรณ์

เรื่องของ “ใจ” ในทัศนะของ “พุทธศาสตร์”   จากคัมภีร์เก่าแก่ “พระไตรปิฎก”  ที่บันทึกความรู้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ของชีวิต และโลก จาก ปฐมภูมิข้อมูล คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้มี สัพพัญญตญาณ  ได้อธิบายเรื่องของ จิตใจ ไว้อย่างชัดเจน และก็ไม่ซับซ้อน เกินกว่าจะเข้าใจ 

มนุษย์ ประกอบด้วย 2 ส่วน สำคัญ

1.ร่างกาย

2.จิตใจ

ทั้ง 2 อย่างนี้ มีอธิบายไว้ใน “ขันธ์ 5”  ...  คือ

  1. รูป คือ สิ่งที่เห็นได้ด้วยตาบ้าง เห็นไม่ได้ด้วยตาบ้าง เห็นได้ด้วยตา คือ ร่างกายมนุษย์ ร่างกายของสัตว์ต่างๆ

ส่วนรูปที่ว่ามองไม่เห็นด้วยตา เพราะเป็น “รูป” ในภพภูมิอื่น  ที่ตามนุษย์มองไม่เห็น เช่น รูปทิพย์ ซึ่งมีความละเอียดมาก  เห็นได้ด้วยตาทิพย์ เช่น รูปของเทวดา พรหม เป็นต้น

  1. เวทนา คือ การรับอารมณ์ การรู้อารมณ์ แบ่งได้ 3 อย่าง คือ

            1.ความรู้สึกสุข คือ สบายกาย สบายใจ

            2.ความรู้สึกทุกข์ คือ ทุกข์กาย ทุกข์ใจ

            3.ความรู้สึกไม่สุข ไม่ทุกข์ เฉยๆ

เวทนา (ความรู้สึก) เกิดจากการมีวัตถุภายนอก  มากระทบประสาทสัมผัสทั้ง 5 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ...

แล้วส่งไปให้ใจ ใจรับ แล้วจึงเกิดเป็นความรู้สึกขึ้นมา   เช่น มีรูปมากระทบประสาทตา  แล้วก็ส่งไปให้ใจ ใจรับไว้ คือ เห็น เมื่อเห็นแล้วก็เกิดความรู้สึกว่า รูปนี้สวย เกิดความสบายใจ ชอบใจ สุขใจ

แต่ถ้าเห็นซากศพเน่าเปื่อย กระบวนการเดียวกัน เมื่อไปถึง ใจ  ก็เกิดเป็นอารมณ์ความรู้สึกที่ ชไม่ชอบใจ รู้สึกกลัว รู้สึกรังเกียจ  หรือเห็นคนหน้าตาธรรมดา ก็เกิดความรู้สึกเฉยๆ ... เป็นต้น 

ในทำนองเดียวกัน ... เสียงที่กระทบหู  กลิ่นที่ผ่านจมูก รสที่ลิ้นได้รับ ...  เมื่อ ใจรับ ก็เกิดการ “รู้” อารมณ์ ความรู้สึก ขึ้นมาว่า ดี หรือ ไม่ดี ...  ก็แล้วแต่ว่า..สิ่งที่มากระทบเป็นอะไร และเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว  ( แต่ถ้าระบบประสาทมีปัญหา ... การรับ และ รู้ อารมณ์ ความรู้สึก  ก็อาจช้า หรือ อาจไม่มี เช่น ผิวหนังที่ชา เอาเข็มจิ้ม.. แต่ไม่รู้สึกเจ็บ  ประสาทหูตึงเสีย ทำให้ ใจไม่สามารถรับรู้ว่าเสียงที่ได้ยิน เป็นเสียงอะไร ... เป็นต้น )

3.สัญญา คือ ความจำ  ความจำรูป จำเสียง จำกลิ่น จำรส จำสัมผัส  เกิดขึ้นเพราะกลไกการทำงานของใจที่สามารถจำหรือ บันทึกข้อมูลไว้ได้ ทั้งภาพ ทั้งเสียง ทั้งกลิ่น ทั้งรส  ทั้งสัมผัสทางกาย และบันทึกได้แม้กระทั่งอารมณ์ที่เกิดกับใจ  พูดง่ายๆ ว่าเพราะใจมีกลไกในการจำ และบันทึกข้อมูล จึงเกิดสัญญาความจำได้ หรือระลึกถึง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส  และอารมณ์ที่เคยประสบมาได้

4.สังขาร คือ ความคิด คิดปรุงแต่ง  เมื่อรูปกระทบตา ประสาทตาก็รับเอาไว้  ก่อให้เกิดเวทนา การรับอารมณ์แล้วส่งไปให้ส่วนจำอารมณ์ที่เกิดขึ้น  จากนั้นจึงส่งมาให้ส่วนที่ทำหน้าที่คิด ปรุงแต่งจิตให้คิดไปในเรื่องต่างๆ  ซึ่งแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ

            1.ความคิดดี เรียกว่า กุศล

            2.ความคิดชั่ว เรียกว่า อกุศล

            3.ความคิดไม่ดีไม่ชั่ว กลางๆ เรียกว่า อัพยากต

5.วิญญาณ คือ ธรรมชาติที่รู้อารมณ์ การรับรู้เรื่องราว ต่างๆ ได้  คือ ความรู้จากทั้ง 6 ทาง ตา หู จมูก ลิ้น ทางกาย และทางใจ  หรือเป็นความรู้ที่เกิดขึ้นเมื่อ  “อายตนะภายใน”  และ “อายตนะภายนอก”...กระทบกัน

           1.รู้รูป  อาศัย ตา เรียกว่า จักขุวิญญาณ

           2.รู้เสียง  อาศัย หู เรียกว่า โสตวิญญาณ

           3.รู้กลิ่น อาศัย จมูก เรียกว่า ฆานวิญญาณ

           4.รู้รส  อาศัย ลิ้น เรียกว่า ชิวหาวิญญาณ

           5.รู้สัมผัส อาศัยกาย เรียกว่า กายวิญญาณ

           6.รู้อารมณ์ที่เกิดขึ้นทางใจ เรียกว่า มโนวิญญาณ

ส่วนประกอบต่างๆ ของสรรพสิ่งทั้งหมดในโลกนี้ล้วนประกอบขึ้นมาด้วยธาตุ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ สิ่งที่ไม่มีชีวิต ประกอบด้วยธาตุ 4 คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ

สิ่งที่มีชีวิตคนและสัตว์ประกอบด้วยธาตุ 6 คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ อากาสธาตุ และวิญญาณธาตุ .. ทุกคนที่อยู่ในโลกนี้ล้วนประกอบด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณด้วยกันทั้งสิ้น คือ รูป 4 นาม 1 เหมือนกัน ทุกคน

แล้ว “ใจ”  มีลักษณะอย่างไร จากคัมภีร์พระไตรปิฎก   อธิบายโดยอรรถกถาจารย์ไว้ว่า ดวงใจ เป็น ธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่ง  ซึ่งครองอยู่ในร่างกายคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ใจไม่ใช่หัวใจ(ที่เป็นอวัยวะกล้ามเนื้อ) แต่ “ใจ”  ดำรงอยู่ในลักษณะของพลังงาน จัดเป็นนามธรรม มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นและไม่สามารถใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ใดๆ   ค้นหาได้  ใจอาศัยอยู่ในกาย สามารถทำงานได้ด้วยการคิดอย่างคล่องแคล่วไปทีละเรื่อง   และคิดไปได้ไกลๆ ตลอดจนสามารถบังคับควบคุมร่างกายให้ทำกิริยาอาการต่างๆ ได้  โดยมีฐานที่ตั้งถาวรอยู่ที่จุดตัดตรงกลางระหว่างความสูง กว้าง ยาวของร่างกายของมนุษย์ทุกคน  

เนื้อหาโดย: deeda2456

ขอบคุณภาพประกอบ: https://www.pexels.com/photo/brain-and-heart-symbols-on-white-background-9162030/
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
deeda2456's profile


โพสท์โดย: deeda2456
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
อิสราเอลเผย "ตัวประกันคนไทยในกาซา ดับเพิ่ม 2 ราย"ลาวพบพระพุทธรูปสวยงามองค์ใหญ่ ใต้พื้นทรายในแม่น้ำโขงนายกไทยอาลัย ตัวประกันไทยดับ 2 ราย ในกาซาย้อนอดีตสยามผ่านภาพถ่าย: มุมมองผ่านกาลเวลาเครื่องบินโบอิ้งตกรัวๆ! บริษัทถูกสอบหนัก! คนแฉดับปริศนา2ราย!สื่อนอกเผย "ไทยกำลังพิจารณาย้ายเมืองหลวง"อาการ"ปารีสซินโดรม"คืออะไรบริษัทใหญ่ในประเทศไทย ที่มีมูลค่ากิจการมากที่สุดในปัจจุบันCannes 2024 ไฮไลท์วันที่ 4 กับ 4 ซุปตาร์ฝั่งเอเชีย
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
บั้งไฟพุ่งเฉียดเครื่องบิน สูงเกือบ 8,000 ฟุต หวั่นเกิดหายนะ5 ผลไม้ยอดนิยม ที่เหมาะสำหรับคนที่กำลังคุมอาหารและลดน้ำหนัก
กระทู้อื่นๆในบอร์ด สาระ เกร็ดน่ารู้
ย้อนอดีตสยามผ่านภาพถ่าย: มุมมองผ่านกาลเวลาขนมปังทะเลทรายคืออะไร“ออโรราสีชมพู” เหนือฟ้านอร์เวย์ ปรากฏการณ์ความงดงามของธรรมชาติที่ไม่ปกติ จากพายุสุริยะรุนแรงประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก
ตั้งกระทู้ใหม่