10 อาหารอันตรายในร้านสะดวกซื้อ
ร้านสะดวกซื้อเป็นสถานที่ที่สะดวกและรวดเร็วสำหรับการซื้ออาหารและเครื่องดื่ม แต่ก็ยังมีอาหารบางชนิดที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้
1. อาหารที่มีส่วนผสมของน้ำตาลเทียม
อันตรายจากน้ำตาลเทียม เป็นประเด็นที่หลายคนให้ความสนใจ เนื่องจากน้ำตาลเทียมเป็นสารให้ความหวานที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เพราะมีราคาถูก และให้รสชาติหวานใกล้เคียงกับน้ำตาล แต่น้ำตาลเทียมก็มีข้อกังวลด้านความปลอดภัยอยู่เช่นกัน
จากข้อมูลที่คุณนำมาเสนอ อันตรายจากน้ำตาลเทียมที่พบบ่อย ได้แก่
- สารเคมีตกค้าง ก่อมะเร็ง
แอสปาแตมเป็นน้ำตาลเทียมชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ประกอบด้วยสารเคมี 3 ชนิด ได้แก่ กรดแอสปาร์ติก ฟีนิลอะลานีน และเมธานอล กรดแอสปาร์ติกและฟีนิลอะลานีนเป็นกรดอะมิโนที่พบได้ในอาหารธรรมชาติ ส่วนเมธานอลเป็นสารพิษที่พบในไวน์ ผลไม้บางชนิด และผลิตภัณฑ์อาหารบางชนิด
งานวิจัยบางชิ้นพบว่าแอสปาแตมสามารถก่อให้เกิดมะเร็งในสัตว์ทดลองได้ แต่งานวิจัยส่วนใหญ่ไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างแอสปาแตมกับมะเร็งในมนุษย์ องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) ระบุว่าแอสปาแตมปลอดภัยสำหรับใช้ในอาหารและเครื่องดื่ม
- สาเหตุโรคอ้วน และเบาหวานทางอ้อม
แอสปาแตมอาจทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความอยากอาหารและน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่โรคอ้วนได้ นอกจากนี้ แอสปาแตมยังอาจทำให้ร่างกายดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งอาจนำไปสู่โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้
อย่างไรก็ตาม งานวิจัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างแอสปาแตมกับโรคอ้วนและเบาหวานยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น จำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันความสัมพันธ์นี้
- เป็นสารอันตราย
งานวิจัยบางชิ้นพบว่าแอสปาแตมอาจทำให้เกิดอาการข้างเคียง เช่น ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน และอาการอื่นๆ แต่อาการข้างเคียงเหล่านี้มักไม่รุนแรงและหายไปเอง
- ท้องอืด ท้องเฟ้อ
แอสปาแตมเป็นน้ำตาลเทียมที่ไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย แต่จะผ่านไปยังลำไส้ใหญ่และถูกย่อยสลายโดยแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ ซึ่งอาจทำให้เกิดแก๊สและอาการท้องอืด ท้องเฟ้อได้
- อันตรายต่อสมอง
กรดแอสปาร์ติก ซึ่งเป็นส่วนประกอบหนึ่งของแอสปาแตม สามารถผ่านเข้าสู่เซลล์สมองได้ แต่ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่ากรดแอสปาร์ติกก่อให้เกิดอันตรายต่อสมอง
จากข้อมูลข้างต้น พบว่าน้ำตาลเทียมอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ แต่อันตรายเหล่านี้มักไม่รุนแรงและพบได้น้อยมาก อย่างไรก็ตาม ผู้ที่บริโภคน้ำตาลเทียมเป็นประจำ ควรตระหนักถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ และควรบริโภคน้ำตาลเทียมในปริมาณที่พอเหมาะ
นอกจากนี้ สิ่งสำคัญคือควรลดการบริโภคน้ำตาลทุกชนิดลง เพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคหัวใจและหลอดเลือด
2. Donat
อันตรายจากโดนัทที่สำคัญประการหนึ่งคือ ไขมันทรานส์ ไขมันทรานส์เป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนที่เกิดจากการเติมไฮโดรเจนให้กับน้ำมันพืช ซึ่งทำให้น้ำมันมีสภาพคงตัวและสามารถเก็บรักษาได้นานขึ้น ไขมันทรานส์พบได้ในอาหารจำพวกของทอด อาหารแปรรูป และอาหารสำเร็จรูป โดนัทเป็นอาหารทอดที่มักใช้น้ำมันที่มีไขมันทรานส์สูง
ไขมันทรานส์เป็นไขมันชนิดหนึ่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เพราะเป็นไขมันที่เพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) และลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง และโรคหัวใจวาย
นอกจากไขมันทรานส์แล้ว โดนัทยังมีน้ำตาลสูงอีกด้วย น้ำตาลสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคอ้วน โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคหัวใจและหลอดเลือด
ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงการบริโภคโดนัทเป็นประจำ หากต้องการรับประทานโดนัท ก็ควรเลือกรับประทานโดนัทที่ทำจากน้ำมันที่มีไขมันทรานส์ต่ำ หรือเลือกรับประทานโดนัทที่มีน้ำตาลน้อย
นอกจากนี้ ยังมีอันตรายจากโดนัทอื่นๆ เพิ่มเติม ได้แก่
- แคลอรีสูง โดนัท 1 ชิ้น มีปริมาณแคลอรีสูงถึง 200-300 แคลอรี จึงควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ
- โซเดียมสูง โดนัทมักมีปริมาณโซเดียมสูง ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อความดันโลหิตสูง
- สารกันบูด โดนัทมักมีส่วนผสมของสารกันบูดเพื่อยืดอายุการเก็บรักษา ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาว
ดังนั้น จึงควรเลือกรับประทานโดนัทอย่างระมัดระวัง และควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ
3. เนยเทียม
กรมอนามัยได้เตือนถึงอันตรายจากไขมันทรานส์ในเนยเทียมและเนยขาว ซึ่งพบได้ในอาหารฟาสต์ฟู้ด เบเกอรี่ และอาหารแปรรูปอื่นๆ ไขมันทรานส์เป็นไขมันชนิดหนึ่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เพราะเป็นไขมันที่เพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) และลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง และโรคหัวใจวาย
นอกจากนี้ ไขมันทรานส์ยังอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอื่นๆ อีกมากมาย เช่น
- เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2
- เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วน
- เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอัลไซเมอร์
- เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งบางชนิด
ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีไขมันทรานส์มากเกินไป หากต้องการรับประทานอาหารที่มีเนยเทียมหรือเนยขาว ก็ควรเลือกชนิดที่มีไขมันทรานส์ต่ำ หรือเลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันทรานส์น้อยกว่า
ต่อไปนี้เป็นแนวทางในการลดการบริโภคไขมันทรานส์
- หลีกเลี่ยงอาหารฟาสต์ฟู้ด เบเกอรี่ และอาหารแปรรูปอื่นๆ
- เลือกรับประทานอาหารที่ปรุงจากน้ำมันพืชไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนลา น้ำมันถั่วเหลือง
- เลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอก
- เลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวต่ำ
4. Energe Drinks
เครื่องดื่มชูกำลังเป็นเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนสูง ซึ่งคาเฟอีนเป็นสารกระตุ้นที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้
อันตรายจากเครื่องดื่มชูกำลังที่พบบ่อย ได้แก่
- ปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด คาเฟอีนอาจทำให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูงขึ้น และเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง
- ปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับระบบประสาท คาเฟอีนอาจทำให้รู้สึกกระวนกระวาย นอนไม่หลับ ซึมเศร้า และวิตกกังวล
- ปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร คาเฟอีนอาจทำให้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง และท้องร่วง
- ปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับไต คาเฟอีนอาจทำให้ไตทำงานหนักขึ้น และเสี่ยงต่อการเกิดโรคไต
- ปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับกระดูก คาเฟอีนอาจทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้น้อยลง และเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน
สำหรับเด็กและวัยรุ่น เครื่องดื่มชูกำลังอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อพัฒนาการด้านระบบหัวใจและระบบประสาทได้ เนื่องจากเด็กและวัยรุ่นมีระบบประสาทที่ยังพัฒนาไม่สมบูรณ์
นอกจากนี้ เครื่องดื่มชูกำลังบางชนิดยังมีส่วนผสมของน้ำตาลและคาเฟอีนสูง ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้เช่นกัน เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคหัวใจและหลอดเลือด
ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงการบริโภคเครื่องดื่มชูกำลังเป็นประจำ หากต้องการบริโภคเครื่องดื่มชูกำลัง ก็ควรบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ และไม่ควรบริโภคเป็นประจำ
ต่อไปนี้เป็นแนวทางในการลดการบริโภคเครื่องดื่มชูกำลัง
- หลีกเลี่ยงการบริโภคเครื่องดื่มชูกำลังเป็นประจำ
- หากต้องการบริโภคเครื่องดื่มชูกำลัง ก็ควรบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่ควรเกินวันละ 1-2 กระป๋อง
- เลือกบริโภคเครื่องดื่มชูกำลังที่มีปริมาณน้ำตาลและคาเฟอีนต่ำ
- เลือกบริโภคเครื่องดื่มชูกำลังที่มีส่วนผสมของสารอาหารอื่นๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น วิตามิน แร่ธาตุ และกรดอะมิโน
5. มันฝรั่งทอด
อันตรายจากมันฝรั่งทอดที่พบบ่อยที่สุดคือสารก่อมะเร็งอะคริลาไมด์ อะคริลาไมด์เป็นสารเคมีที่เกิดจากการทำปฏิกิริยาระหว่างน้ำตาลและกรดอะมิโนที่พบได้ในอาหารทอดหรืออบด้วยความร้อนสูง พบได้ในมันฝรั่งทอด เฟรนช์ฟรายส์ ขนมขบเคี้ยวอื่นๆ และอาหารทอดอื่นๆ
อะคริลาไมด์เป็นสารก่อมะเร็งที่อาจก่อให้เกิดมะเร็งได้หลายชนิด เช่น มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
นอกจากอะคริลาไมด์แล้ว มันฝรั่งทอดยังมีอันตรายอื่นๆ ได้แก่
- ไขมันสูง มันฝรั่งทอดมักมีไขมันสูง ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง และโรคหัวใจวาย
- โซเดียมสูง มันฝรั่งทอดมักมีโซเดียมสูง ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อความดันโลหิตสูง
- น้ำตาลสูง มันฝรั่งทอดบางชนิดมีน้ำตาลสูง ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วน โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคหัวใจและหลอดเลือด
ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงการบริโภคมันฝรั่งทอดเป็นประจำ หากต้องการรับประทานมันฝรั่งทอด ก็ควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ และควรเลือกรับประทานมันฝรั่งทอดที่มีไขมันต่ำ โซเดียมต่ำ และน้ำตาลต่ำ
ต่อไปนี้เป็นแนวทางในการลดการบริโภคมันฝรั่งทอด
- หลีกเลี่ยงการบริโภคมันฝรั่งทอดเป็นประจำ
- หากต้องการรับประทานมันฝรั่งทอด ก็ควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่ควรเกินวันละ 1-2 ชิ้น
- เลือกรับประทานมันฝรั่งทอดที่มีไขมันต่ำ โซเดียมต่ำ และน้ำตาลต่ำ
- เลือกรับประทานมันฝรั่งทอดที่อบแทนการทอด
นอกจากนี้ ยังสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดอะคริลาไมด์ได้ โดยหลีกเลี่ยงการทอดหรืออบอาหารด้วยความร้อนสูงเป็นเวลานาน
6. ซีเรียล
ถูกต้องครับ ซีเรียลเป็นอาหารเช้ายอดนิยมที่มีให้เลือกหลากหลายประเภท แต่ก็มีอันตรายต่อสุขภาพเช่นกัน
ข้อเสียของซีเรียลต่อสุขภาพ ได้แก่
- น้ำตาลสูง ซีเรียลส่วนใหญ่มีน้ำตาลสูง ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วน โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคหัวใจและหลอดเลือด
- แป้งขัดสี ซีเรียลบางชนิดทำจากแป้งขัดสี ซึ่งย่อยง่ายและดูดซึมเข้าสู่ร่างกายอย่างรวดเร็ว ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและลดลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน ซึ่งอาจทำให้เกิดความอยากอาหารมากขึ้นและนำไปสู่โรคอ้วนได้
- สารอาหารน้อย ซีเรียลบางชนิดมีสารอาหารน้อย เช่น วิตามิน แร่ธาตุ และไฟเบอร์ ซึ่งจำเป็นต่อร่างกาย
ดังนั้น จึงควรเลือกบริโภคซีเรียลที่มีน้ำตาลและแป้งขัดสีต่ำ และควรเลือกซีเรียลที่มีสารอาหารครบถ้วน
ต่อไปนี้เป็นแนวทางในการเลือกบริโภคซีเรียลที่ดีต่อสุขภาพ
- เลือกซีเรียลที่มีน้ำตาลน้อยกว่า 10 กรัมต่อ 1 หน่วยบริโภค
- เลือกซีเรียลที่มีแป้งขัดสีน้อยกว่า 50%
- เลือกซีเรียลที่มีวิตามิน แร่ธาตุ และไฟเบอร์สูง
- เพิ่มผลไม้ ผัก และธัญพืชเต็มเมล็ดลงในซีเรียลเพื่อเพิ่มสารอาหาร
นอกจากนี้ ยังควรหลีกเลี่ยงการบริโภคซีเรียลเป็นประจำ เพราะอาจทำให้ได้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
7. น้ำมันพืช
น้ำมันพืชเป็นไขมันที่ได้จากพืช ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ แต่หากบริโภคมากเกินไปก็อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้
อันตรายจากน้ำมันพืช ได้แก่
- โรคอ้วน น้ำมันพืชมีไขมันสูง ซึ่งหากบริโภคมากเกินไปอาจทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นและนำไปสู่โรคอ้วนได้
- ภาวะไขมันในเลือดสูง น้ำมันพืชบางชนิด เช่น น้ำมันปาล์มและน้ำมันมะพร้าว มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง ซึ่งหากบริโภคมากเกินไปอาจเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) และลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
- ภาวะความดันโลหิตสูง น้ำมันพืชบางชนิด เช่น น้ำมันปาล์มและน้ำมันมะพร้าว มีโซเดียมสูง ซึ่งหากบริโภคมากเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะความดันโลหิตสูง
- โรคเบาหวานชนิดที่ 2 น้ำมันพืชบางชนิด เช่น น้ำมันปาล์มและน้ำมันมะพร้าว มีคาร์โบไฮเดรตสูง ซึ่งหากบริโภคมากเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2
- โรคหัวใจและหลอดเลือด น้ำมันพืชบางชนิด เช่น น้ำมันปาล์มและน้ำมันมะพร้าว มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง ซึ่งหากบริโภคมากเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
- โรคหลอดเลือดสมอง น้ำมันพืชบางชนิด เช่น น้ำมันปาล์มและน้ำมันมะพร้าว มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง ซึ่งหากบริโภคมากเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง
- มะเร็ง น้ำมันพืชที่ผ่านความร้อนสูง เช่น น้ำมันที่ใช้ทอดซ้ำๆ อาจก่อให้เกิดสารก่อมะเร็งได้
นอกจากนี้ น้ำมันพืชบางชนิดยังอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอื่นๆ อีกมากมาย เช่น
- เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอัลไซเมอร์
- เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคข้ออักเสบ
- เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งเต้านม
ดังนั้น จึงควรบริโภคน้ำมันพืชในปริมาณที่พอเหมาะ และควรเลือกบริโภคน้ำมันพืชที่มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนสูง เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนลา น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว และน้ำมันเมล็ดทานตะวัน
ต่อไปนี้เป็นแนวทางในการบริโภคน้ำมันพืชอย่างปลอดภัย
- เลือกบริโภคน้ำมันพืชที่มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนสูง
- หลีกเลี่ยงการบริโภคน้ำมันพืชที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง เช่น น้ำมันปาล์มและน้ำมันมะพร้าว
- หลีกเลี่ยงการบริโภคน้ำมันพืชที่ผ่านการทอดซ้ำๆ
- หลีกเลี่ยงการบริโภคน้ำมันพืชในปริมาณที่มากเกินไป
นอกจากนี้ ยังควรหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีน้ำมันพืชมากเกินไป เช่น อาหารทอด อาหารแปรรูป และอาหารสำเร็จรูป
8. อาหารที่มีส่วนผสมที่ผ่านกระบวนการ GMO เช่น ซอสมะเขือเทศ
สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม (GMO) เป็นสิ่งมีชีวิตที่มียีนถูกดัดแปลงโดยเทคโนโลยีการดัดแปรพันธุกรรม เทคโนโลยีนี้ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถย้ายยีนจากสิ่งมีชีวิตหนึ่งไปยังอีกสิ่งมีชีวิตหนึ่งหรือเปลี่ยนลำดับยีนที่มีอยู่ได้
GMO สามารถใช้เพื่อปรับปรุงคุณสมบัติต่างๆ ของสิ่งมีชีวิต เช่น ผลผลิต ต้านทานโรค และต้านทานสารเคมีกำจัดศัตรูพืช
อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของ GMO หลายประการ ได้แก่
- ความปลอดภัยต่อผู้บริโภค บางคนกังวลว่า GMO อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของผู้บริโภค เช่น ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้หรือมะเร็ง
- ความปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม บางคนกังวลว่า GMO อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ทำให้เกิดโรคระบาดพืชหรือทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ
- ความยั่งยืนทางการเกษตร บางคนกังวลว่า GMO อาจไม่ยั่งยืนทางการเกษตร เช่น ต้องใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชมากขึ้น
ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่า GMO ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคหรือไม่ การศึกษาส่วนใหญ่พบว่า GMO ปลอดภัยต่อผู้บริโภค แต่การศึกษาบางชิ้นพบว่า GMO อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาว
สำหรับความปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่า GMO ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม การศึกษาบางชิ้นพบว่า GMO อาจทำให้เกิดโรคระบาดพืชหรือทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ
สำหรับความยั่งยืนทางการเกษตร ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่า GMO ส่งผลต่อความยั่งยืนทางการเกษตรอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม การศึกษาบางชิ้นพบว่า GMO อาจต้องใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชมากขึ้น
หากกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของ GMO สามารถเลือกหลีกเลี่ยงการบริโภคผลิตภัณฑ์จาก GMO ได้ โดยตรวจสอบฉลากสินค้าก่อนซื้อ หากฉลากระบุคำว่า "GM" หรือ "GE" แสดงว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีการดัดแปรพันธุกรรม
9. Deli meat (ไส้กรอก แฮม เบคอน)
อาหารประเภท Deli meat เป็นอาหารแปรรูปที่ทำจากเนื้อสัตว์ เช่น แฮม เบคอน ไส้กรอก ซาลามี่ และปาเต อาหารประเภทนี้มักมีไขมัน โซเดียม และสารกันบูดสูง
อันตรายจากอาหารประเภท Deli meat ได้แก่
- ไขมันสูง อาหารประเภท Deli meat มักมีไขมันสูง ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง และโรคอื่นๆ
- โซเดียมสูง อาหารประเภท Deli meat มักมีโซเดียมสูง ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อความดันโลหิตสูง
- สารกันบูด อาหารประเภท Deli meat มักมีสารกันบูดเพื่อยืดอายุการเก็บรักษา ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาว
นอกจากนี้ อาหารประเภท Deli meat ยังอาจปนเปื้อนด้วยเชื้อโรคต่างๆ เช่น เชื้อซัลโมเนลลา เชื้ออีโคไล และเชื้อ Listeria ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาหารเป็นพิษได้
ดังนั้น จึงควรบริโภคอาหารประเภท Deli meat ในปริมาณที่พอเหมาะ และควรเลือกบริโภคอาหารประเภท Deli meat ที่มีไขมัน โซเดียม และสารกันบูดต่ำ
ต่อไปนี้เป็นแนวทางในการบริโภคอาหารประเภท Deli meat อย่างปลอดภัย
- บริโภคอาหารประเภท Deli meat ในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่ควรเกินวันละ 1-2 ชิ้น
- เลือกรับประทานอาหารประเภท Deli meat ที่มีไขมัน โซเดียม และสารกันบูดต่ำ
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารประเภท Deli meat ที่ใกล้หมดอายุหรือเน่าเสีย
นอกจากนี้ ควรล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหารประเภท Deli meat และล้างอุปกรณ์ที่ใช้ปรุงอาหารประเภท Deli meat ด้วยน้ำร้อนและสบู่
10. อาหารประเภท Non fat product เช่น โยเกิร์ต
อาหารที่ไม่มีไขมัน (non-fat product) เป็นอาหารที่มีการลดไขมันออกไปจากอาหารเดิม โดยกระบวนการต่างๆ เช่น การแยกไขมันออกจากอาหาร การเติมสารทดแทนไขมัน หรือการใช้ไขมันชนิดอื่นแทนไขมันเดิม เป็นต้น
อาหารที่ไม่มีไขมันมักถูกมองว่าเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เพราะมีแคลอรี่ต่ำและไขมันต่ำ แต่แท้จริงแล้ว อาหารที่ไม่มีไขมันก็มีอันตรายต่อสุขภาพเช่นกัน
อันตรายจากอาหารที่ไม่มีไขมัน ได้แก่
- แคลอรี่ต่ำ อาหารที่ไม่มีไขมันมักมีแคลอรี่ต่ำ ซึ่งอาจทำให้รู้สึกหิวบ่อยและรับประทานอาหารมากขึ้น ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้
- ไขมันต่ำ อาหารที่ไม่มีไขมันอาจทำให้ร่างกายขาดสารอาหารที่จำเป็น เช่น วิตามิน แร่ธาตุ และไขมันดี
- สารทดแทนไขมัน อาหารที่ไม่มีไขมันมักมีสารทดแทนไขมัน เช่น น้ำตาล แป้ง และไขมันทรานส์ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ เช่น โรคอ้วน โรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคเบาหวานชนิดที่ 2
นอกจากนี้ อาหารที่ไม่มีไขมันยังอาจทำให้รสชาติและเนื้อสัมผัสของอาหารเปลี่ยนไป ซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภคไม่ชอบรับประทาน
ดังนั้น จึงควรบริโภคอาหารที่ไม่มีไขมันในปริมาณที่พอเหมาะ และควรเลือกบริโภคอาหารที่ไม่มีไขมันที่มีสารอาหารครบถ้วน
ต่อไปนี้เป็นแนวทางในการบริโภคอาหารที่ไม่มีไขมันอย่างปลอดภัย
- บริโภคอาหารที่ไม่มีไขมันในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่ควรเกินวันละ 1-2 หน่วยบริโภค
- เลือกรับประทานอาหารที่ไม่มีไขมันที่มีสารอาหารครบถ้วน เช่น วิตามิน แร่ธาตุ และไขมันดี
- หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่ไม่มีไขมันที่เต็มไปด้วยน้ำตาล แป้ง และไขมันทรานส์
นอกจากนี้ ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันดี เช่น ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน และไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว แทนไขมันทรานส์
อ้างอิงจาก: ที่มาของข้อมูลในการเขียนกระทู้เรื่อง 10 อาหารอันตรายในร้านสะดวกซื้อ ได้แก่
* ข้อมูลจากเว็บไซต์ของหน่วยงานภาครัฐ เช่น กระทรวงสาธารณสุข กรมอนามัย และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
* ข้อมูลจากเว็บไซต์ขององค์กรอิสระ เช่น มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และเครือข่ายองค์กรผู้บริโภค
* ข้อมูลจากบทความวิชาการและงานวิจัย
นอกจากนี้ ยังสามารถเข้าไปชมในช่อง youtube 'Doctor top"เพื่อเพิ่มความเข้าใจยิ่งขึ้น