10 ประเทศประชากรที่เยอะที่สุด!!
วันที่ 11 ก.ค. ของทุกปีคือวันประชากรโลก
จึงได้อัปเดต 10 อันดับประเทศที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลก เมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2565
(1) อินเดีย 1,428 ล้านคน
อัตราการเติบโตของประชากรอินเดียลดลงอย่างมากในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมาเนื่องจากการขยายตัวของเมืองที่เพิ่มขึ้น ระดับการศึกษาที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิง เว็บไซต์ Worldometer คาดการณ์ว่า อินเดียจะมีจำนวนประชากรสูงสุดที่ 1,650 ล้านคน ภายในปี 2603 หรืออีกไม่เกิน 40 ปีข้างหน้า
(2) จีน 1,425 ล้านคน
ขนาดของประชากรจีนเป็นประเด็นร้อนทางการเมืองมาอย่างยาวนาน หลังจากจำนวนประชากรจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ทำให้รัฐบาลจีนต้องประกาศ "นโยบายลูกคนเดียว" เพื่อจำกัดการเติบโตของประชากร มีการให้รางวัลคู่สามีภรรยาที่ตกลงจะมีลูกคนเดียวด้วยโบนัสเงินสดและระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่ดีขึ้น จนจีนสามารถลดอัตราการเกิดของเด็กได้ถึง 1.3 คนต่อแม่ 1 คน
(3) สหรัฐอเมริกา 340 ล้านคน
สหรัฐฯ มีความแตกต่างจากอินเดียและจีน เพราะมีการเติบโตของจำนวนประชากรอย่างต่อเนื่องแบบที่ไม่สามารถคาดการณ์ถึงอัตราที่ลดลงได้ คาดการณ์ว่าในปี 2610 สหรัฐฯ จะมีประชากรมากกว่า 400 ล้านคน สาเหตุไม่ได้มาจากอัตราการเกิด แต่มาจากการอพยพย้ายถิ่นฐาน
(4) อินโดนีเซีย 277 ล้านคน
หนังสือพิมพ์จาการ์ตาโพสต์ รายงานว่า ในปี 2556 ว่า ประชากรของอินโดนีเซียเพิ่มขึ้น 2 เท่า ภายในเวลาเพียง 40 ปีาจาก 119 ล้านคนในปี 2514 เป็นเกือบ 240 ล้านคนในปี 2553 สำนักงานสถิติกลางคาดการณ์ว่า ในอีก 40 ปีข้างหน้า (ปี 2593) คาดว่าประชากรของประเทศจะสูงขึ้นเป็น 317 ล้านคน จำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นนี้ เป็นปัญหาต่อเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย คุกคามการเติบโตและการพัฒนาที่ช้าลง
(5) ปากีสถาน 240 ล้านคน
ระหว่างปี 2541-2560 อัตราการเติบโตของประชากรโดยเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 2.4 มีจำนวนผู้หญิงปากีสถานน้อยมากที่ถูกคุมกำเนิด จำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นสร้างความล้มเหลวต่อระบบสาธารณสุขและระบบการศึกษามาก และยังส่งผลให้มีคนตกงานอีกหลายล้านคน คาดการณ์ว่าหากปากีสถานยังเพิ่มจำนวนประชากรด้วยอัตราเช่นนี้ จะใช้เวลาอีกเพียง 25 ปีเท่านั้น จะแซงหน้าอินโดนีเซีย ด้วยจำนวนประชากร 331 ล้านคน
(6) ไนจีเรีย 223 ล้านคน
ไนจีเรียนับเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในทวีปแอฟริกา ณ ปัจจุบัน อัตราการเกิดอยู่ที่ 3.7 ซึ่งถือเป็นจำนวนที่สูงกว่ามาตรฐานมาก กองสำรวจสำมะโนประชากรของสหรัฐฯ เคยคาดการณ์ว่า ด้วยอัตราการเกิดของไนจีเรียเช่นนี้ จะทำให้ประชากรไนจีเรียแซงหน้าสหรัฐฯ ด้วยจำนวน 380 ล้านคน ขึ้นเป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 3 ของโลกในปี 2590รัฐบาลไนจีเรียพยายามอย่างมากที่จะลดจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ มีการเสนอการคุมกำเนิดฟรีในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ให้เงินทุนกับครอบครัวขนาดเล็กเป็นหลักประกันในอนาคต
(7) บราซิล 216 ล้านคน
อัตราการเพิ่มประชากรบราซิลลดลงอย่างมากตั้งแต่ปี 2494 อัตราการเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 3.02 และในปี 2562 ลดลงอยู่ที่ร้อยละ 0.72 สาเหตุมาจากเพศหญิงในบราซิลจำนวนมากถูกต้อนเข้าสู่ตลาดแรงงาน ไม่มีเวลาครอบครัว มีการประเมินว่าแนวโน้มอัตราการเกิดที่ลดลงเช่นนี้ จะทำให้สังคมบราซิลเผชิญกับผู้สูงอายุมากกว่าเด็ก และนำไปสู่อัตราการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นตามมา
(8) บังกลาเทศ 172 ล้านคน
ช่วง 50 ปีที่ผ่านมา อัตราการเกิดของบังกลาเทศอยู่ที่ร้อยละ 3.23 แต่ลดลงจนเหลือร้อยละ 1 หรือแม่ 1 คนจะให้กำเนิดลุกเพียง 1 คนตลอดช่วงชีวิต เหตุผลคือ มีการใช้การคุมกำเนิดมากขึ้น แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ บังกลาเทศยังมีอัตราการแต่งงานในเด็ก วัยรุ่นที่สูงอยู่ ประชากรที่แต่งงานอายุน้อยที่สุดอยู่ที่อายุ 15 ปี มากถึงร้อยละ 34 ขณะที่หญิงอายุ 65 ปีขึ้นไปที่แต่งงานมีเพียงร้อยละ 5
(9) รัสเซีย 144 ล้านคน
เป็นที่น่าสังเกตว่าในช่วง 15 ปี (พ.ศ.2536-2551) ประชากรรัสเซีย มีจำนวนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จาก 148 ล้านคน เป็น 143 คน ในช่วงนั้น รัสเซียมีอัตราการเกิดต่ำที่และอัตราการเสียชีวิตสูงผิดปกติ ปัจจุบันรัสเซียถือเป็นอีกประเทศที่มีอัตราการเกิดต่ำมาก อยู่ที่ร้อยละ 1.58 วลาดิเมียร์ ปูติน ปธน.รัสเซียต้องเปิดแผนขยายจำนวนประชากร โดยลดการอพยพและเพิ่มอัตราการเกิดให้สูงขึ้น สร้างแรงจูงใจจ่ายเงิน 10,000 ดอลลาร์สำหรับแม่ที่มีลูกตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป
(10) เม็กซิโก 128 ล้านคน
วันที่ 11 ก.ค. ของทุกปีคือวันประชากรโลก
จึงได้อัปเดต 10 อันดับประเทศที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลก เมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2565
(1) อินเดีย 1,428 ล้านคน
อัตราการเติบโตของประชากรอินเดียลดลงอย่างมากในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมาเนื่องจากการขยายตัวของเมืองที่เพิ่มขึ้น ระดับการศึกษาที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิง เว็บไซต์ Worldometer คาดการณ์ว่า อินเดียจะมีจำนวนประชากรสูงสุดที่ 1,650 ล้านคน ภายในปี 2603 หรืออีกไม่เกิน 40 ปีข้างหน้า
(2) จีน 1,425 ล้านคน
ขนาดของประชากรจีนเป็นประเด็นร้อนทางการเมืองมาอย่างยาวนาน หลังจากจำนวนประชากรจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ทำให้รัฐบาลจีนต้องประกาศ "นโยบายลูกคนเดียว" เพื่อจำกัดการเติบโตของประชากร มีการให้รางวัลคู่สามีภรรยาที่ตกลงจะมีลูกคนเดียวด้วยโบนัสเงินสดและระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่ดีขึ้น จนจีนสามารถลดอัตราการเกิดของเด็กได้ถึง 1.3 คนต่อแม่ 1 คน
(3) สหรัฐอเมริกา 340 ล้านคน
สหรัฐฯ มีความแตกต่างจากอินเดียและจีน เพราะมีการเติบโตของจำนวนประชากรอย่างต่อเนื่องแบบที่ไม่สามารถคาดการณ์ถึงอัตราที่ลดลงได้ คาดการณ์ว่าในปี 2610 สหรัฐฯ จะมีประชากรมากกว่า 400 ล้านคน สาเหตุไม่ได้มาจากอัตราการเกิด แต่มาจากการอพยพย้ายถิ่นฐาน
(4) อินโดนีเซีย 277 ล้านคน
หนังสือพิมพ์จาการ์ตาโพสต์ รายงานว่า ในปี 2556 ว่า ประชากรของอินโดนีเซียเพิ่มขึ้น 2 เท่า ภายในเวลาเพียง 40 ปี
จาก 119 ล้านคนในปี 2514 เป็นเกือบ 240 ล้านคนในปี 2553 สำนักงานสถิติกลางคาดการณ์ว่า ในอีก 40 ปีข้างหน้า (ปี 2593) คาดว่าประชากรของประเทศจะสูงขึ้นเป็น 317 ล้านคน จำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นนี้ เป็นปัญหาต่อเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย คุกคามการเติบโตและการพัฒนาที่ช้าลง
(5) ปากีสถาน 240 ล้านคน
ระหว่างปี 2541-2560 อัตราการเติบโตของประชากรโดยเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 2.4 มีจำนวนผู้หญิงปากีสถานน้อยมากที่ถูกคุมกำเนิด จำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นสร้างความล้มเหลวต่อระบบสาธารณสุขและระบบการศึกษามาก และยังส่งผลให้มีคนตกงานอีกหลายล้านคน คาดการณ์ว่าหากปากีสถานยังเพิ่มจำนวนประชากรด้วยอัตราเช่นนี้ จะใช้เวลาอีกเพียง 25 ปีเท่านั้น จะแซงหน้าอินโดนีเซีย ด้วยจำนวนประชากร 331 ล้านคน
(6) ไนจีเรีย 223 ล้านคน
ไนจีเรียนับเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในทวีปแอฟริกา ณ ปัจจุบัน อัตราการเกิดอยู่ที่ 3.7 ซึ่งถือเป็นจำนวนที่สูงกว่ามาตรฐานมาก กองสำรวจสำมะโนประชากรของสหรัฐฯ เคยคาดการณ์ว่า ด้วยอัตราการเกิดของไนจีเรียเช่นนี้ จะทำให้ประชากรไนจีเรียแซงหน้าสหรัฐฯ ด้วยจำนวน 380 ล้านคน ขึ้นเป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 3 ของโลกในปี 2590รัฐบาลไนจีเรียพยายามอย่างมากที่จะลดจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ มีการเสนอการคุมกำเนิดฟรีในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ให้เงินทุนกับครอบครัวขนาดเล็กเป็นหลักประกันในอนาคต
(7) บราซิล 216 ล้านคน
อัตราการเพิ่มประชากรบราซิลลดลงอย่างมากตั้งแต่ปี 2494 อัตราการเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 3.02 และในปี 2562 ลดลงอยู่ที่ร้อยละ 0.72 สาเหตุมาจากเพศหญิงในบราซิลจำนวนมากถูกต้อนเข้าสู่ตลาดแรงงาน ไม่มีเวลาครอบครัว มีการประเมินว่าแนวโน้มอัตราการเกิดที่ลดลงเช่นนี้ จะทำให้สังคมบราซิลเผชิญกับผู้สูงอายุมากกว่าเด็ก และนำไปสู่อัตราการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นตามมา
(8) บังกลาเทศ 172 ล้านคน
ช่วง 50 ปีที่ผ่านมา อัตราการเกิดของบังกลาเทศอยู่ที่ร้อยละ 3.23 แต่ลดลงจนเหลือร้อยละ 1 หรือแม่ 1 คนจะให้กำเนิดลุกเพียง 1 คนตลอดช่วงชีวิต เหตุผลคือ มีการใช้การคุมกำเนิดมากขึ้น แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ บังกลาเทศยังมีอัตราการแต่งงานในเด็ก วัยรุ่นที่สูงอยู่ ประชากรที่แต่งงานอายุน้อยที่สุดอยู่ที่อายุ 15 ปี มากถึงร้อยละ 34 ขณะที่หญิงอายุ 65 ปีขึ้นไปที่แต่งงานมีเพียงร้อยละ 5
(9) รัสเซีย 144 ล้านคน
เป็นที่น่าสังเกตว่าในช่วง 15 ปี (พ.ศ.2536-2551) ประชากรรัสเซีย มีจำนวนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จาก 148 ล้านคน เป็น 143 คน ในช่วงนั้น รัสเซียมีอัตราการเกิดต่ำที่และอัตราการเสียชีวิตสูงผิดปกติ ปัจจุบันรัสเซียถือเป็นอีกประเทศที่มีอัตราการเกิดต่ำมาก อยู่ที่ร้อยละ 1.58 วลาดิเมียร์ ปูติน ปธน.รัสเซียต้องเปิดแผนขยายจำนวนประชากร โดยลดการอพยพและเพิ่มอัตราการเกิดให้สูงขึ้น สร้างแรงจูงใจจ่ายเงิน 10,000 ดอลลาร์สำหรับแม่ที่มีลูกตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป
(10) เม็กซิโก 128 ล้านคน
ปัจจุบันอัตราการเกิดของประชากรเม็กซิโกอยู่ที่ร้อยละ 1.8 ซึ่งลดลงอย่างมากในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา เนื่องจากอัตราการแต่งงานลดลงและจำนวนการหย่าร้างเพิ่มขึ้น ในขณะที่อัตราการเสียชีวิตในเม็กซิโกอยู่ที่ร้อยละ 0.58 นั่นหมายถึง เม็กซิโกมีอัตราการเติบโตของประชากรที่ช้าและจำนวนประชากรสูงอายุที่เพิ่มขึ้น อายุขัยเฉลี่ยของผู้สูงวัยเม็กซิโกอยู่ที่ 60 ปีเหล่านี้คือปัจจัยภายในที่รัฐต้องจัดการกับประชากรในประเทศตน แต่ขณะเดียวกันยังมีข้อโต้เถียงอีกมากถึงการใช้ทรัพยากรโลกที่หากว่ากันตามหลักสิทธิมนุษยชนแล้วนั้น