คืนมหัศจรรย์..เดินธุดงค์ในป่า "เขาศาลา"
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องจริง แต่มันอาจจะแฟนตาซีไปสักหน่อยสำหรับใครบางคน ที่ยังไม่เคยผ่านการปฏิบัติธรรมมา ผมเองได้มีโอกาสบวชพระที่โครงการหนึ่ง ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้ว ที่ผมได้กลับมาบวชอีกครั้ง และก็คงจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตแล้ว เพราะผมไม่อยากให้ใครมาตราหน้าผมว่าเป็น "ชายสามโบสถ์" แต่เหตุผลที่จำเป็นต้องมาบวชก็เพราะว่า หลวงพ่อองค์หนึ่งท่านได้มาปรากฏตัวในนิมิตของผมตอนนั่งสมาธิ ท่านได้มาบอกว่า ให้ผมกลับมาบวชอีกครั้ง ซึ่งผมเองก็ได้รับปากกับท่านเอาไว้ จนกระทั่งมาถึงวันอุปสมบทเป็นพระจริง ๆ ผมก็ได้เข้าไปกราบท่าน และได้บอกท่านว่า "ผมมาบวชให้หลวงพ่อตามสัญญาแล้วน่ะครับ" ท่านเองก็ยิ้ม ๆ แล้วก็หัวเราะเบา ๆ และกระซิบข้างหูผมว่า "โยมอย่าไปบอกใครเชียว" ซึ่งผมเองก็ได้แต่นั่งอมยิ้ม และคิดในใจว่า "หลวงพ่อมาหาเราจริง ๆ เราไม่ได้คิดไปเอง"
หลังจากวันอุปสมบทผ่านไป ทางโครงการก็ได้จัดรถทัวร์ เพื่อเคลื่อนย้ายเหล่าพระสงฆ์ทั้งหมดไปยังจังหวัดสุรินทร์ ไปปฏิบัติธรรมที่วัดเขาศาลา ซึ่งอยู่ใน อ.บัวเชด ติดกับพื้นที่ชายแดนเขมร บรรยากาศที่นี่ดูไม่เปลี่ยนไปจาก 16 ปีที่แล้ว ที่ผมเคยมาบวชครั้งแรกเลย ป่ายังอุดมสมบูรณ์เหมือนเดิม แต่ก็มีสิ่งปลูกสร้างอำนวยความสะดวกเล็กน้อย สำหรับคนที่มาปฏิบัติธรรมที่นี่
คืนนี้เป็นคืนแรกที่วัดเขาศาลาแห่งนี้ และก็ตรงกับวันเกิดของหลวงพ่อพอดิบพอดี ซึ่งผมก็รู้ดีว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในวันนี้ ก็ได้แต่นั่งคิดในใจ และมันก็เป็นอย่างที่ผมคิดจริง ๆ ท้องฟ้าจากสดใสเริ่มมืดมิดลง และปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก มีเสียงฟ้าร้องคำรามน่าเกรงขาม ส่งสัญญาณเตือนว่า ในไม่อีกกี่นาทีต่อจากนี้ไป พายุฝนจะมาแล้วน่ะจ๊ะ เตรียมตัวกันให้ดี ๆ ล่ะ มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกครับ ผมรู้ดี เพราะผมก็เคยบวชที่นี่มาก่อน มีที่ไหนหรือครับ ฝนตกเฉพาะที่นี่ทีเดียว แต่บริเวณรอบนอกวัดฟ้ากลับสดใส เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ที่มันเป็นแบบนี้ ผมคิดในใจว่า สงสัยหลวงพ่อท่านคงอยากจะทดสอบบรรดาลูกศิษย์ลูกหาของท่านว่า ยังมีสติกันดีอยู่หรือเปล่า เตรียมตัวกันพร้อมหรือยัง ก่อนที่จะธุดงค์เข้าป่าลึก เพราะในป่าลึกมีอะไรมากกว่าที่พวกคุณคิดซะอีก ทั้งอาถรรพณ์ของป่า เจ้าป่าเจ้าเขา ภูติผีปีศาจ เมืองลับแล และพญานาค เป็นต้น มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก เพราะเรื่องพวกนี้มันมีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพียงแต่ว่าวาระจิตของพวกเราไม่สามารถที่จะเข้าถึงได้ก็เท่านั้นเอง
วันที่สองของการเดินธุดงค์เข้าในป่าเขาศาลา มีพระที่บวชในโครงการนี้เกือบ 150 รูป มีทั้งคนทั่วไป หมอดู คนเข้าทรง คนเล่นไสยศาสตร์ ทหาร เจ้าของธุรกิจ หรือแม้แต่ทนายความเอง ทั้งหมดต้องแบ่งกันออกเป็นกลุ่ม ๆ ละประมาณ 10 รูป เพื่อไปปักกลดตามจุดต่าง ๆ ในป่า ซึ่งมีอาณาเขตบริเวณพื้นที่ทั้งหมดเกือบ 15,000 ไร่ กล่าวคือถ้าหลงป่าแล้ว ก็ไม่ต้องหาให้เสียเวลาหรอก เพราะหายังไงก็หาไม่เจอแน่ ๆ เพราะเคยมีเหตุการณ์พระหลงป่าเมื่อ 16 ปีที่แล้ว เนื่องจากได้ไปเดินข้ามเครือเถาหลง ทำให้หาทางออกไม่ได้ และก็อาจจะมีผีบังตาอีกด้วย ซึ่งใครคิดจะเข้าป่าลึกแล้ว ถ้าไม่แน่จริงก็อย่าคิดที่จะลองของ ขอให้คิดให้ดี ๆ เดี๋ยวจะหาว่าผมไม่เตือน และสิ่งสำคัญที่ผมเองต้องรักษาติดตัวไว้ตลอด ก็คือ ไตรจีวร อันประกอบด้วย สบง จีวร สังฆาฏิ เพราะสามสิ่งนี้จะช่วยคุ้มครองผมเวลาอยู่ในป่า ไม่ให้เจอกับภยันตรายต่าง ๆ ทั้งสัตว์ร้ายและเหล่าบรรดาภูติผีปีศาจ เป็นต้น โดยการปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่ในป่าแห่งนี้ก็คือ การศึกษาธรรมะ สวดมนตร์ทำวัตรเช้า-เย็น นั่งสมาธิ และเดินจงกรม ทำอย่างนี้ทุก ๆ วันจนเป็นกิจวัตร เพื่อให้พวกเราได้เข้าถึงธรรมชาติ และรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับมัน
และแล้วก็มาถึงวันที่สาม วันนี้ผมเองมีลางสังหรณ์แปลก ๆ ว่า มันจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ ๆ เพราะตาข้างขวาผมมันกระตุกตลอด และแล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้ วันนี้ผืนป่าพิโรธมากกก เพราะว่าได้มีคนไปแอบลักลอบตัดไม้ทำลายป่า และดักสัตว์ป่าเป็นจำนวนมาก ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นพรานป่าในบริเวณพื้นที่แห่งนี้ที่หลงผิด และเหล่าบรรดาคนเขมรบางกลุ่มที่ได้รับออเดอร์จากนายทุนใหญ่ ให้ลักลอบมาตัดไม้พะยุง เพื่อขนย้ายกลับไปยังประเทศของตนเอง ซึ่งเหตุการณ์คนแอบลักลอบตัดไม้ทำลายป่านั้นมีมาเนิ่นนานแล้ว แต่ก็มีเจ้าหน้าที่รัฐบางคนทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ปล่อยปละละเลย ไม่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี และทางภาครัฐก็ไม่ให้การสนับสนุนเท่าที่ควรจะเป็น จึงต้องเป็นหน้าที่ของพระธุดงค์ที่จะต้องรักษาผืนป่าแห่งนี้ให้อุดมสมบูรณ์ เพราะว่ามันเป็นป่าของ "พ่อหลวงของพวกเรา" นั่นเอง
ในเวลาค่ำคืนของวันที่สาม ในบริเวณป่าลึกที่พวกผมกำลังธุดงค์อยู่นั้น ท้องฟ้าเริ่มมืดมิดสนิท และได้เกิดมีลมพายุพัดแรงกระหน่ำ ตามด้วยเสียงฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ดูน่าเกรงขามไปหมด และต้นไม้ใหญ่อายุกว่าหลายร้อยปีก็ได้โค่นล้มลงมาหลายต้น ทำให้ปิดเส้นทางการเข้าออกจากป่าทั้งหมด ทางด้านพระพี่เลี้ยงเอง ท่านก็ได้รับคำสั่งมาจากหลวงพ่ออีกที ให้รีบมาบอกกับเหล่าบรรดาพระธุดงค์ทั้งหมดว่าให้รีบกลับวัดโดยด่วน แต่มันก็สายไปเสียแล้ว พวกเราทั้งหมดติดกันอยู่ในป่านั้น และไม่มีทางที่จะติดต่อกับโลกภายนอกได้อีกเลย ผมเองก็ได้รับรู้ถึงเรื่องนี้ตลอด แต่ก็ได้เฉย ๆ กับมัน เพราะผมเองได้ปล่อยวางมันตั้งแต่แรกก่อนที่จะเข้าป่าแล้ว ว่าจะไม่คิดเรื่องอะไรทั้งนั้น นอกจากเรื่องของการปฏิบัติกรรมฐานเพียงอย่างเดียว
พระธุดงค์หลาย ๆ รูป ได้พยายามช่วยกัน เพื่อหาทางออกจากป่า ส่วนตัวผมนั้นก็ได้ขอปลีกวิเวก เพื่อที่จะไปปฏิบัติธรรมต่อ เพราะตั้งสัจจอธิษฐานไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า จะขอปฏิบัติกรรมฐานอย่างจริงจัง และถ้ามันจะตายก็ให้มันตายไป ถ้ามันยังไม่ถึงที่ตาย เดี๋ยวมันก็ออกไปได้เองน่ะแหล่ะ ในความคิดของผมน่ะ ผมเองได้เริ่มนั่งสมาธิไปสักพักใหญ่ ๆ จนกระทั่งเริ่มที่จะไม่เห็นลมหายใจของตัวเอง รู้สึกได้ว่าตัวเองแข็งเหมือนก้อนหินทำนองนั้น และก็ไม่มีตัวตนอะไรทั้งสิ้น และในช่วงเวลานั้นเอง ผมก็ได้เห็นแสงสว่างเล็ก ๆ มันเริ่มขยายตัวขึ้น จนสว่างจ้าไปหมด สว่างกว่าพระอาทิตย์ที่พวกเราเห็นกันซ่ะอีก ผมได้เพ่งจิตไปที่แสงสว่างนั้น แล้วก็ได้ตั้งคำถามกับมันว่า ทำไมพวกเราถึงต้องมาติดกันในป่าแห่งนี้ เพราะอะไรกันแน่ ? สิ่งที่ผมได้รับคำตอบกลับมาจากแสงสว่างนั้นก็คือ มันเป็นวิบากกรรมเก่าของพวกผมในอดีตชาติ ในสมัยที่เป็นทหาร ซึ่งได้ไปรบกับเขมร และก็ได้ทิ้งเพื่อนบางส่วนเอาไว้เบื้องหลัง ไม่ว่าจะเพราะสาเหตุอะไรก็ตาม แต่บรรดาเพื่อนๆ ทั้งหลายเหล่านั้นก็ได้ตายลง และก็ยังไม่ได้ไปผุดไปเกิดสักที พอผมได้รับรู้เช่นนั้น ผมก็รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากที่ได้ทำแบบนั้นกับเพื่อน แต่ในระหว่างนั้นเอง ผมได้เห็นหลวงพ่อมาในแสงสว่าง ท่านมาบอกว่าให้พวกผมเร่งมือกันปฏิบัติ บำเพ็ญเพียรภาวนา และให้แผ่บุญแผ่กุศลให้ดวงวิญญาณเหล่านั้นซ่ะ เรื่องทุกอย่างมันจะได้จบลงภายในชาตินี้ และจะได้ไม่ต้องจองเวรจองกรรมต่อกันอีก ผมรีบออกจากสมาธิโดยเร็ว แล้วก็นำเรื่องนี้ไปบอกกับบรรดาพระธุดงค์ทั้งหมด ซึ่งทุกคนก็รับฟัง และก็ต่างแยกย้ายกันไปบำเพ็ญเพียรภาวนาตามที่ผมบอก หลังจากนั้นได้ไม่นาน อีกประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า ๆ พวกผมก็ได้ยินเสียงเลื่อยไฟฟ้าดังมาแต่ไกล ฟังไม่ผิดหรอกครับ ทางหลวงพ่อได้รีบประสานงานไปยังเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เพื่อให้มาช่วยเหลือเหล่าบรรดาพระธุดงค์ที่ติดกันอยู่ในป่า พวกเราทุกคนต่างพากันดีใจเป็นอย่างมาก เพราะคงจะไม่ได้ตายเป็น "ผีเฝ้าป่า" แล้ว ดีน่ะที่พวกเรายังมีสติกันดีทุกคน ไม่อย่างนั้นรับรองว่า พรุ่งนี้คงจะได้เห็นข่าวใหญ่ในหนังสือพิมพ์กันอย่างแน่นอน และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ของการธุดงค์ในป่าลึก "เขาศาลา" ที่ผมจะจดจำไว้ไม่มีวันลืม ตราบจนวันตาย