ดาวพุธ (MERCURY)
ดาวพุธเป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดในระบบสุริยะ และเป็นดาวเคราะห์ที่เล็กที่สุดในระบบสุริยะด้วยครับ ดาวพุธใช้เวลาโคจรรอบดวงอาทิตย์ในระยะเวลาประมาณ 87.969 วัน ซึ่งเทียบเท่ากับประมาณ 88 วันในโลกของเรา ดาวพุธมักปรากฏใกล้หรืออยู่ภายใต้แสงจ้าของดวงอาทิตย์ ทำให้การสังเกตเห็นดาวพุธเป็นเรื่องยาก เนื่องจากการแสงสว่างที่เข้ามากับแสงอาทิตย์ ดาวพุธไม่มีดาวบริวารและไม่มีแรงโน้มถ่วงที่มากพอที่จะสร้างชั้นบรรยากาศ ดาวพุธมีสภาพพื้นผิวขรุขระเนื่องจากการพุ่งชนของอุกกาบาต และมีแกนกลางที่เป็นเหล็ก การพุ่งชนนี้ทำให้เกิดสนามแม่เหล็กขนาดใหญ่บนดาวพุธ โดยมีความเข้มประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ของสนามแม่เหล็กโลก
ชื่อละตินของดาวพุธคือ "Mercury" ซึ่งมาจากคำเต็มว่า "Mercurius" ซึ่งเป็นเทพนำสารของพระเจ้าในตำนานโรมัน สัญลักษณ์ของดาวพุธคือ ☿ ซึ่งเป็นรูปคทาของเทพเจ้าเมอคิวรี ก่อนศตวรรษที่ 5 ในอดีต เคยมีการเรียกชื่อดาวพุธว่า "เฮอร์เม" เมื่อปรากฏในเวลาหัวค่ำและเชื่อว่าเป็นดาวพุธเมื่อปรากฏในเวลาเช้ามืด นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่าดาวพุธเป็น "พีทาโกรัส" ตามเครื่องสังเกตในอดีต
ดาวพุธเป็นดาวเคราะห์ที่มีบรรยากาศบาง ๆ และสเถียรภาพต่ำ นั่นเกิดจากขนาดของดาวพุธที่เล็กเพียงพอไม่ให้แรงดึงดูดมากพอในการกักเก็บอะตอมของก๊าซไว้เป็นชั้นบรรยากาศหนาแน่น บรรยากาศบนดาวพุธประกอบด้วยองค์ประกอบหลายชนิดเช่นไฮโดรเจน ฮีเลียม ออกซิเจนโซเดียม แคลเซียม โพแทสเซียม และน้ำ โดยมีความดันบรรยากาศประมาณ 10-14 บาร์
บรรยากาศบนดาวพุธมีกระบวนการสูญเสียและการเติมเต็มอยู่ตลอดเวลา การสูญเสียมาจากแหล่งต่าง ๆ ไฮโดรเจนและฮีเลียมอาจมาจากลมสุริยะ และส่วนมากจะแพร่ผ่านสนามแม่เหล็กของดาวพุธก่อนออกจากบรรยากาศ สารกัมมันตรังสีที่สลายตัวจากแกนของดาวพุธก็เป็นแหล่งเติมเต็มไฮโดรเจน ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของบรรยากาศดาวพุธ ไม่มีแสงอาทิตย์ส่งถึงดาวพุธโดยตรง การสำรวจเรดาร์เผยแพร่แถบสะท้อนขนาดใหญ่อยู่ในขั้วของดาว ที่คาดว่าเป็นแหล่งน้ำแข็งที่สามารถสะท้อนเรดาร์ได้
คาดว่าบริเวณที่มีน้ำแข็งอยู่ลึกลงไปใต้พื้นผิวดาวพุธไม่กี่เมตร และน้ำแข็งมีมวลประมาณ 10^14 - 10^15 กิโลกรัม น้ำแข็งบนดาวพุธมีปริมาณน้อยกว่าน้ำแข็งที่แอนตาร์กติกาของโลกที่มีมวลประมาณ 4 x 10^18 กิโลกรัม แหล่งที่มาของน้ำแข็งบนดาวพุธยังไม่ชัดเจน อาจมาจากดาวหางที่ชนดาวพุธในอดีตหรือจากกระบวนการภายในดาวพุธเอง
บนดาวพุธมีหลุมอุกกาบาตจำนวนมากซึ่งมองเห็นได้คล้ายกับดวงจันทร์เนื่องจากมีจำนวนมากมายในท้องฟ้าของดาวพุธ แต่ภูมิลักษณ์ที่เด่นและน่าสนใจที่สุดบนดาวพุธ (อย่างไรก็ตามที่เราสามารถสังเกตเห็นได้) คือแอ่งแคลอริส หลุมอุกกาบาตนี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1,350 กิโลเมตร ผิวดาวพุธมีความลาดชันทั่วไป สร้างขึ้นในอดีตอันหลายพันล้านปีที่ผ่านมา ในขณะที่ดาวพุธกำลังเย็นลงและหดตัวลง จนทำให้เปลือกดาวพุธหดย่นลง พื้นที่ส่วนใหญ่ของดาวพุธมีการปกคลุมด้วยที่ราบอยู่ในสองแบบที่มีอายุต่างกัน ที่ราบที่มีอายุน้อยมักจะมีหลุมอุกกาบาตที่หนาแน่นน้อยกว่า สาเหตุเกิดจากลาวาที่ไหลลงมามักจะมีแรงในการกลบหลุมอุกกาบาตที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไปด้วย
โครงสร้างของดาวพุธ
1. เปลือก - หนา100–200 กม.
2. แมนเทิล - หนา 600 กม.
3. แกน - รัศมี 1,800 กม
ดาวพุธเป็นดาวที่เคลื่อนรอบดวงอาทิตย์อย่างรวดเร็วที่สุด เพียงแค่ 87.969 วันเท่านั้นเท่าที่จำเป็นในการเขียนรอบแห่งตัวเองเพื่อเสียบตัวรอบดวงอาทิตย์ครั้งเดียว การหมุนรอบตัวเองของดาวพุธมีทิศทางเช่นเดียวกับการเคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์ คือจากทิศตะวันตกไปยังทิศตะวันออก แต่ระยะเวลาในการหมุนรอบตัวเองนั้นยาวถึง 58.6461 วัน อาศัยการคำนวณจากคาบการหมุนของตัวเองและการคาบในการเคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์ หากพิจารณาถึงระยะเวลาในช่วงเวลากลางวันถึงกลางคืนบนดาวพุธ จะพบว่ามีความยาวถึง 176 วัน เป็นระยะเวลาที่ยาวนานที่สุดในระบบสุริยะทั้งหมด
เมื่อพ.ศ. 2517 ยานอวกาศมารีเนอร์ 10 ของสหรัฐอเมริกาได้เข้าสู่ระยะที่เป็นที่รู้จักกันดีในการสำรวจดาวพุธ ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทางอวกาศ ยานมารีเนอร์ 10 กลายเป็นที่พูดถึงอย่างหนักในหัวข้อเกี่ยวกับการสำรวจดาวเครื่องที่เป็นตัวแทนของมนุษยชาติในการสำรวจอวกาศเข้าสู่ระดับใหม่โดยการเข้าเฉียดใกล้ดาวพุธ และปฏิบัติการที่สำคัญนี้ได้นำมาเป็นเหตุการณ์สำคัญแห่งการสำรวจอวกาศในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ในปี พ.ศ. 2517 ยานอวกาศมารีเนอร์ 10 ได้ทำการเข้าใกล้ดาวพุธไม่น้อยกว่า 3 ครั้ง ซึ่งเกิดขึ้นในเดือนมีนาคมและกันยายนของปีดังกล่าว ในเดือนมีนาคม ได้เป็นครั้งแรกที่ยานเข้าใกล้ดาวพุธเมื่อวันที่ 29 มีนาคม พร้อมทั้งส่งภาพกลับมาถึงโลกจำนวนกว่า 647 ภาพ เป็นครั้งแรกที่มนุษย์ได้พบกับความลึกลับของพื้นผิวดาวพุธ
การเข้าสู่ดาวพุธในครั้งที่สองเกิดขึ้นในวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2517 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นครั้งที่ยานมารีเนอร์ 10 ส่งภาพมาอีกครั้งเพื่อศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับดาวพุธ รวมถึงเพื่อให้การวิจัยและการเรียนรู้เกี่ยวกับดาวพุธนั้นเป็นไปอย่างครบถ้วนและเข้าใจมากยิ่งขึ้น สุดท้ายในวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2518 ยานอวกาศมารีเนอร์ 10 ได้ทำการเข้าสู่ครั้งที่สามของการเฉียดดาวพุธ แต่ขณะนั้นเครื่องมือภายในยานเริ่มมีสภาพที่เสื่อมลง ทำให้ไม่สามารถติดต่อกับโลกได้อีกต่อไป ภายหลังจากครั้งนี้ ยานมารีเนอร์ 10 กลายเป็นวัตถุขยะอวกาศที่กำลังโคจรอยู่รอบดวงอาทิตย์ แม้จะไม่สามารถส่งข้อมูลกลับมาโลกได้แล้ว การสำรวจดาวพุธในทางเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ก็ได้ไปถึงจุดสูงสุดของความสำเร็จอย่างไม่น้อย และสร้างแรงบันดาลใจให้กับการสำรวจอวกาศในอนาคตอีกครั้ง