รักแท้แพ้ไอ้หนุ่มฉายหนังกลางแปลง
ย้อนอดีตไปประมาณ สี่สิบกว่าปีก่อนสมัยผมเป็นหนุ่ม โลกเรายังไม่เจริญมาถึงจุดนี้เทคในโลยี่ ที่เราเห็น ๆ กันอยู่ในปัจจุบันแทบไม่มีให้เห็นเลย ขอเล่าถึงคนหนุ่มคนสาวในยุคนั้นให้พอหายคิดถึงกันบ้าง การศึกษานั้นน้อยคนนักที่เรียนจบถึงปริญญาตรีนอกจากคนที่ทีฐานะดีและอยู่ในเมืองที่เจริญ
ส่วนตามบ้านนอกคอกนา อย่างดีก็แค่ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หรือ ป. 4 ก็ดีแล้ว แถมมีหลายคนที่ไม่เรียนหนังสือ อีกด้วยจริง ๆ แล้วก็ไม่เห็นแตกต่างกันสักเท่าไร ระหว่างคนที่เรียนหนังสือกับไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะส่วนมากชีวิตตามชนบทมันก็คล้าย ๆ กันหมด นอกจากทำไร่ ไถนา หาปูหาปลาไปตามประสาแล้ว ผมก็เป็นคนชนบท คนหนึ่งที่เติบโตมาจากท้องไร่ท้องนา เรียนจบแค่ชั้น ป.4 ในตอนนั้นอายุก็ประมาณ 17 ปีแต่เริ่มเป็นหนุ่มโตกว่าอายุ เพราะตรากตรำทำงานช่วยพ่อแม่มาตั้งแต่เรียนจบ ป. 4 ออกมาหน้าตาก็เลยเกินอายุ ชนบทยุคนั้นมันก็ชนบทจริง ๆ ความสุขด้านเทคโนโลยี่ ไม่มีอะไรเลย นอกจากวิทยุทรานซิสเตอร์ เก่า ๆหนึ่งเครื่อง ใช้ถ่านไฟฉายตรากบ สามก้อนเป็นพลังงาน บางครั้งต้องคอยแย่งกับแม่และน้องสาวฟังตลอด แม่ติดนิยายคณะเกศทิพย์ น้องสาวชอบฟังเพลงลูกทุ่ง ส่วนผมชอบหิ้วไปฟังกลางทุ่งมันได้อรรถรสดี แต่ก็ต้องรอจังหวะที่วิทยุว่างถึงหิ้วไปได้ โทรทัศน์ พัดลม ตู้เย็น โทรศัพท์ แม้แต่รถจักรยาน ยังนึกไม่ออกเลยว่าหน้าตาเป็นอย่างไร รู้แต่ว่าคนเขาลือกันว่าคนกรุงเทพ .เขามีกัน ความสุขและความบันเทิงที่สุดยอดในยุคนั้นก็คืองานวัดนั่นเอง ถึงเป็นงานวัดก็ไม่มีอะไรให้ดูมากมายหรอกครับอย่างเก่ง มโหรสรรพก็มีแค่ ลิเกโรงเล็ก ๆ หนังกลางแปลง บางทีก็มีมวยวัดแค่นี้ก็สวรรค์ของไอ้หนุ่มและอีสาวบ้านทุ่งแล้ว และในตอนนั้นผมก็มีคนที่ชอบพอกันอยู่คนหนึ่งเธอชื่อ ละออ บ้านเธอกับผมอยู่ห่างกันไม่เท่าไรแค่เดินลัดทุ่งไปสองกิโลก็ถึงแล้ว เราก็คบกันตามประสาวัยรุ่นยุคเก่าที่อยู่ในสายตาผู้ใหญ่ แต่ไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรของเธอ ในงานวัดปีหนึ่ง ซึ่งทางวัดได้จัดงาน ถึงสามวันสามคืน ละออเธอจะไปที่วัดทุกวันโดยอ้างว่าไปช่วยงานหลวงพ่อ ไม่มีใครคัดค้านเธอทุกคนคิดตรงกันว่าไปช่วยวัดแล้วได้บุญ พอถึงเวลางานวัดเลิก ละออเธอก็หายตัวไปไม่มีใครพบเธอ มีข่าวแว่วมาว่า เธอหนีตามไอ้หนุ่มคนฉายหนังกลางแปลงไปเมื่องานวัดคืนสุดท้าย..ทิว บ้านลาดชะโด ยังคิดถึงเธออยู่เสมอ ละออ ลูกลุงชื้น นักเลงปลากัดบ้านทุ่ง...!