โสดจนถึงเกษียญก็ยังสบาย แค่........
โสดจนถึงเกษียญก็ยังสบาย แค่ทำตามนี้
1. เตรียมเงินฉุกเฉินให้พร้อม
การเตรียมเงินฉุกเฉินเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกคน เพราะจะช่วยให้เราผ่านพ้นเหตุการณ์ไม่คาดคิดต่าง ๆ เช่น ตกงาน เจ็บป่วย อุบัติเหตุ หรือภัยพิบัติต่าง ๆ โดยเงินฉุกเฉินควรมีอย่างน้อย 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน
วิธีเตรียมเงินฉุกเฉินมีดังนี้
กำหนดเป้าหมาย ขั้นแรกเราต้องกำหนดเป้าหมายว่าต้องการเก็บเงินฉุกเฉินไว้เท่าไร โดยคำนวณจากค่าใช้จ่ายต่อเดือนของเรา เช่น หากเราใช้จ่ายต่อเดือน 20,000 บาท ต้องการเก็บเงินฉุกเฉิน 6 เท่า ก็ควรเก็บเงินไว้ 120,000 บาท
สร้างแผนการออม เมื่อกำหนดเป้าหมายได้แล้ว เราต้องสร้างแผนการออมเพื่อนำไปสู่เป้าหมาย โดยอาจเริ่มจากออมเงินจำนวนน้อย ๆ ก่อน แล้วค่อย ๆ เพิ่มจำนวนเงินออมขึ้นเรื่อย ๆ ตัวอย่างเช่น หากเราต้องการออมเงินเดือนละ 10,000 บาท เราสามารถเริ่มจากการออมเงิน 5,000 บาทก่อน แล้วค่อยเพิ่มเป็น 10,000 บาท เมื่อเราปรับตัวเข้ากับการออมได้
หาช่องทางการออม ในปัจจุบันมีช่องทางการออมให้เลือกหลากหลาย เช่น เงินฝากออมทรัพย์ บัญชีเงินฝากประจำ กองทุนรวมตลาดเงิน กองทุนรวมหุ้นระยะสั้น เป็นต้น เราต้องเลือกช่องทางการออมที่เหมาะสมกับเรา โดยคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความเสี่ยง สภาพคล่อง และผลตอบแทน
ออมอย่างสม่ำเสมอ สิ่งสำคัญที่สุดในการออมเงินฉุกเฉิน คือ การออมอย่างสม่ำเสมอ โดยควรออมเงินเป็นประจำทุกเดือน ไม่ว่ารายได้ของเราจะมากหรือน้อยก็ตาม
ติดตามผล เราต้องติดตามผลการเก็บเงินฉุกเฉินของเราอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าเรายังอยู่ในเส้นทางไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้
2. การจัดสรรรายได้ที่ดี
การจัดสรรรายได้ที่ดีเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เรามีสุขภาพทางการเงินที่ดี จะช่วยให้เรามีเงินเพียงพอสำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน มีเงินเก็บออมเพื่ออนาคต และมีเงินสำรองไว้สำหรับเหตุการณ์ไม่คาดคิด
วิธีจัดสรรรายได้ที่ดีมีดังนี้
กำหนดเป้าหมายทางการเงิน ขั้นแรกเราต้องกำหนดเป้าหมายทางการเงินของเรา เช่น ต้องการมีเงินเก็บออมจำนวนเท่าไร ต้องการซื้อบ้านหรือรถยนต์เมื่อไร ต้องการเกษียณอายุตอนอายุเท่าไร เป็นต้น เมื่อกำหนดเป้าหมายได้แล้ว จะช่วยให้เราจัดสรรรายได้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทำบัญชีรายรับรายจ่าย การทำบัญชีรายรับรายจ่ายจะช่วยให้เราเห็นภาพรวมของการเงินของเราว่าใช้จ่ายเงินไปเท่าไรในแต่ละเดือน เงินเหลือเท่าไร และเงินหายไปไหนบ้าง การทำบัญชีรายรับรายจ่ายเป็นประจำจะช่วยให้เราหาจุดบกพร่องในการใช้จ่าย และปรับพฤติกรรมการใช้จ่ายให้ดีขึ้น
แบ่งเงินออกเป็นสัดส่วน เมื่อกำหนดเป้าหมายทางการเงินแล้ว เราต้องแบ่งเงินออกเป็นสัดส่วนตามเป้าหมาย เช่น ใช้จ่าย 30% ออม 30% ลงทุน 20% สำรอง 20% เป็นต้น จะช่วยให้เราควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี และมีเงินเพียงพอสำหรับแต่ละเป้าหมาย
ติดตามผล สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องติดตามผลการจัดสรรรายได้ของเราอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าเรายังอยู่ในเส้นทางไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้
3. ให้เงินทำงานแทน
การให้เงินทำงานแทนหมายถึง การนำเงินที่เก็บออมมาลงทุน เพื่อให้เงินมีมูลค่าเพิ่มขึ้น และสร้างรายได้ให้เราในอนาคต โดยการลงทุนมีหลายประเภท เช่น การลงทุนในหุ้น การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ การลงทุนในกองทุนรวม เป็นต้น
การให้เงินทำงานแทนมีประโยชน์หลายประการ ดังนี้
สร้างรายได้เพิ่มเติม การลงทุนจะช่วยให้เราสร้างรายได้เพิ่มเติมจากเงินออมของเรา ทำให้เรามีความมั่นคงทางการเงินมากขึ้น
เติบโตของเงิน การลงทุนจะช่วยให้เงินของเราเติบโตขึ้นตามกาลเวลา โดยผลตอบแทนจากการลงทุนจะขึ้นอยู่กับประเภทของการลงทุนที่เราเลือก
ลดความเสี่ยง การลงทุนจะช่วยให้เรากระจายความเสี่ยงของเงินออมของเรา โดยการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภทจะช่วยให้เราลดความเสี่ยงจากการขาดทุนได้
เคล็ดลับในการให้เงินทำงานแทน
กำหนดเป้าหมายทางการเงิน ขั้นแรกเราต้องกำหนดเป้าหมายทางการเงินของเรา เช่น ต้องการมีเงินเก็บออมจำนวนเท่าไร ต้องการซื้อบ้านหรือรถยนต์เมื่อไร ต้องการเกษียณอายุตอนอายุเท่าไร เป็นต้น เมื่อกำหนดเป้าหมายได้แล้ว จะช่วยให้เราเลือกประเภทของการลงทุนที่เหมาะสมกับเรา
ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุน การลงทุนมีหลายประเภท เราควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนแต่ละประเภทอย่างรอบคอบ เพื่อให้เข้าใจความเสี่ยงและผลตอบแทนจากการลงทุน รวมถึงเลือกประเภทของการลงทุนที่เหมาะสมกับเรา
เริ่มต้นด้วยเงินจำนวนน้อย เราสามารถเริ่มต้นการลงทุนด้วยเงินจำนวนน้อยก่อน แล้วค่อย ๆ เพิ่มจำนวนเงินขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเรามีประสบการณ์มากขึ้น
ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ การลงทุนอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เราลดความเสี่ยงจากการขาดทุน และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น
ติดตามผลการลงทุน เราต้องติดตามผลการลงทุนของเราอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าการลงทุนของเรายังเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
4. เลือกปักหลักในที่ที่ชอบ
ให้ความสำคัญกับการเลือกที่อยู่อาศัยที่เอื้อต่อการมีชีวิตที่ดี เช่น ใกล้แหล่งชุมชน ใกล้โรงพยาบาล เข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกง่าย และได้ทำกิจกรรมที่ชอบ
5. ซื้อประกันชีวิตและประกันสุขภาพ
ประกันชีวิตและประกันสุขภาพเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารการเงินส่วนบุคคล ช่วยคุ้มครองเราจากความเสี่ยงต่าง ๆ เช่น เจ็บป่วย ทุพพลภาพ เสียชีวิต สูญเสียรายได้ และภัยพิบัติต่าง ๆ
ประกันชีวิตช่วยคุ้มครองเราจากความเสี่ยงในการสูญเสียรายได้จากการเสียชีวิต โดยหากเราเสียชีวิต เงินประกันชีวิตจะนำไปจ่ายให้แก่ผู้รับผลประโยชน์ที่เราระบุไว้ ช่วยให้ครอบครัวของเรามีเงินเพียงพอสำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและดูแลอนาคต
ประกันสุขภาพช่วยคุ้มครองเราจากความเสี่ยงในการใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาลที่สูง โดยหากเราเจ็บป่วยหรือประสบอุบัติเหตุ ประกันสุขภาพจะช่วยจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้เรา ทำให้เราสามารถรักษาตัวได้อย่างทันท่วงทีโดยไม่กระทบต่อการเงิน
ดังนั้น การซื้อประกันชีวิตและประกันสุขภาพจึงเป็นสิ่งที่ควรทำเพื่อความมั่นคงทางการเงินของเรา และเพื่อปกป้องคนที่รัก
6. ลงทุนเพื่อการเกษียณ
การลงทุนเพื่อการเกษียณเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เรามีเงินเพียงพอสำหรับการใช้ชีวิตในวัยเกษียณ โดยการลงทุนเพื่อการเกษียณมีหลายประเภท เช่น กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) ประกันชีวิตแบบบำนาญ การลงทุนในหุ้น การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
การลงทุนเพื่อการเกษียณมีประโยชน์หลายประการ ดังนี้
สร้างรายได้เพิ่มเติม การลงทุนจะช่วยให้เราสร้างรายได้เพิ่มเติมจากเงินออมของเรา ทำให้เรามีความมั่นคงทางการเงินมากขึ้น
เติบโตของเงิน การลงทุนจะช่วยให้เงินของเราเติบโตขึ้นตามกาลเวลา โดยผลตอบแทนจากการลงทุนจะขึ้นอยู่กับประเภทของการลงทุนที่เราเลือก
ลดความเสี่ยง การลงทุนจะช่วยให้เรากระจายความเสี่ยงของเงินออมของเรา โดยการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภทจะช่วยให้เราลดความเสี่ยงจากการขาดทุนได้